วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

ภาพสะท้อนที่ชัดเจน

ท้องฟ้ายามนี้ดูขมุกขมัวเหมือนจิตรกรที่กำลังผสมสีน้ำในจานสี แล้วพลาดทำสีดำจาง ๆ ผสมปนเปลงในช่องหลุมที่ผสมสีขาวทิ้งไว้ ทำให้สีขาวดูขุ่น ๆ ตุ่น ๆ พิกล


ความรักที่สุดสดชื่นของคู่แต่งงานใหม่ จืดจางลงโดยฉับพลันชั่วขณะ เพราะเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ แม้เกมจะจบลงไปแล้ว หลังเสียงเป่านกหวีดรสขมของ
สตีฟ เบนเนตต์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงค้างอยู่ในจิตใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย นานวันขึ้นไม่ได้จืดจางลง ทว่า กลับตกตะกอนนอนก้นที่อยู่ห้องหัวใจแห่งความผิดหวัง


นี่คือ
"ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูล" ตามห้วงความคิดคำนึงของผม ปกติผมมักเสาะหาเหตุผลมาทัดทานการปราชัยของทีมได้ไม่ยากนัก แต่ครั้งนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ใครหลายคนอาจโทษผู้ตัดสิน แต่นั่นเป็นแค่การหา "แพะรับบาป" เท่านั้น ใบเหลืองแดงของ มาสเคราโน่ คือใบเหลืองแดงที่ชัดเจน และมันบ่งบอกอีกครั้งถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเป็นตัวตัดสินเกมใหญ่ ซึ่งลิเวอร์พูลในยุค ราฟาเอล เบนิเตซ มักหลงลืมเสมอยามต้องปะแข้งกับทัพปีศาจแดง

หลายคนอาจบอกว่า เบนเนตต์ ทำเกินกว่าเหตุ แต่หากคุณดูฟุตบอลอังกฤษมานาน จะรู้จัก เบนเนตต์ เป็นอย่างดีว่า สไตล์การเป่าของเขาเป็นเช่นไร และเหตุการณ์เช่นที่ มาสเคราโน่ ทำลงไป เบนเนตต์ ไม่เคยปล่อยให้นักเตะลอยนวลแน่ โอเค สำหรับใบเหลืองของ เฟร์นานโด ตอร์เรส อาจดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่ ตอร์เรส กล่าวกับ เบนเนตต์ มีคำพูดว่าอะไรบ้าง แต่มันเพียงพอที่จะเรียกใบเหลืองออกจากกระเป๋ากางเกงของ เบนเนตต์ ได้


สำหรับมุมมองของนัดนี้ หลังปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 2 วันเต็ม ๆ เพื่อนั่งนึกคิด วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
นี่คือ เกมที่ ราฟา ใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานทีมที่เขาพัฒนามาเกือบ 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนว่า ไม่ดีพอ และยังห่างไกลจาก ผีแดง ของเซอร์เฟอร์กี้ ที่ได้รับการบ่มเพาะดูแลมามากกว่า 20 ปี ราฟา ตัดสินใจลองของด้วยการใช้ทีมชุดเดิมที่เขายกให้เป็น 11 ตัวจริง ณ เวลานี้ พร้อมแผนการเล่นที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนแปลงแค่รายละเอียดทางด้านแท็คติก ซึ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแท็คติกที่ เฟอร์กี้ วางมาขยี้ลูกทีมของ ราฟา


สิ่งที่ ราฟา โยนทิ้งไปในเกมนี้ คือ
การคิดแล้วคิดอีกสิบตลบของเขา ก่อนจะตัดสินใจเลือกวางแผนการเล่นที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการวางแท็คติกที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย เวลาต้องปะทะกับทีมใหญ่ ที่เคยน็อคทั้ง ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า มาแล้ว อาจเพราะเขามั่นใจในแผนการเล่น 4-2-3-1 ที่บุกไปยันเสมอ เชลซี 0-0 และเล่นงาน "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน จนหมดสภาพ 2 นัด แทนที่จะปรับเปลี่ยนแท็คติกและตัวผู้เล่นตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เขาทำมาในอดีตเสมอ


ผมเชื่อว่า หากทีมไม่ได้ชนะรวดมา 7 นัด ด้วยแท็คติก 4-2-3-1 ราฟา จะปรับเปลี่ยนแท็คติกเป็น 4-4-1-1 และมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่น รวมถึงตำแหน่งการยืนต่าง ๆ แตกต่างไปจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ราฟามั่นใจในระบบ 4-2-3-1 เพราะเขาเริ่มมองหาจุด
"สมดุล" ของทีม หลังความพ่ายแพ้ต่อ บาร์นสลีย์ ตกรอบเอฟเอ คัพ และระบบนี้ได้ตอบโจทย์ของเขาใน 7 นัดที่ผ่านมาว่า สมดุลที่สุดในการเล่นเกมรุก-รับ นั่นคือ รุกพอใช้ได้ รับพอใช้ได้ ไม่ดีเด่นไปสักทาง ขณะที่ระบบ 4-4-2 เกมรุกเด่น แต่เกมรับด้อยเกินไปจนแพ้ได้กระทั่ง บาร์นสลีย์ ไม่สมดุล แต่ถ้าเลือกระบบ 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 เกมรับแข็ง แต่เกมรุกด้อย ไม่สมดุลเช่นกัน และยากที่จะเอาประตูจากผีแดงได้


แต่รายละเอียดเล็กน้อย ๆ ที่อาจถูกมองข้ามไปในระบบ 4-2-3-1 คือ เกมเสมอ เชลซี ระบบนี้ไม่สามารถเจาะเกมรับเชลซีได้ และเจาะเกมรับ อินเตอร์ ไม่เข้าเช่นกันในเกมที่แอนฟิลด์ จนกระทั่ง ราฟา เปลี่ยนตัวผู้เล่นและปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 ถึงยิง อินเตอร์ ได้ 2 ประตู ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนและชนะรวดมาตลอด ระบบดังกล่าวดีเพียงพอ



ทว่า สิ่งที่ราฟาหลงลืมไปคือ เกมนี้ทีมต้องการชัยชนะ หาใช่ต้องการเกมที่สมดุล
เหมือนที่ เซอร์เฟอร์กี้ แสดงให้เห็นบ่อยครั้งในอดีตว่า เล่นยังไงก็ได้ขอให้ชนะ ลิเวอร์พูล เป็นพอ ทีมไม่จำเป็นต้องมีสมดุลเกมรุก-รับที่ดี เพราะฉะนั้น การไปเยือนผีแดง เกมรับจึงสำคัญที่สุด เกมรุกเป็นเรื่องรองลงมา เมื่อ ราฟา เลือกจัดทีมที่สมดุล เกมรับจึงไม่แข็งพอจะรับมือเกมรุกของผีแดง ขณะที่เกมรุกไม่ดีพอจะเจาะเกมรับผีแดง ผลที่ออกมาก็เลยเป็นดั่งที่ได้เห็นกันไป


นอกจากนี้
ความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมากมายกับนักเตะหงส์แดง เป็นสาเหตุใหญ่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายคู่แค้นตลอดกาลชนิดหมดสภาพเช่นนี้ ไรอัน บาเบล เต้นอย่างเห็นได้ชัด จับบอลแต่ละครั้งกระดอนไกลกว่า 1 หลา ขณะที่ เจอร์ราร์ด หายไปกับสายลม ชนิดกลางรับคู่อย่าง อันแดร์สัน และคาร์ริค ที่เซอร์จัดลงมาช่วยกันหยุด เจอร์ราร์ด ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย นอกจากถ่ายบอลเดินเกมเล่นรุกเท่านั้น ฝั่ง ตอร์เรส ทำได้ตามมาตรฐาน แต่เมื่อถูกรุมกินโต๊ะโดย ริโอ-วิดิช คู่กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ตอร์เรส ไม่มีทางผ่านแน่นอน เกมรุกของหงส์แดงที่พอจะคุกคามผีแดงได้บ้างมีเพียง บาเบล ที่ถูกปล่อยให้มีสถานการณ์ 1 ต่อ 1 กับ เวส บราวน์ 2-3 ครั้ง ซึ่งเขามีศักยภาพดีพอจะฝ่าไปได้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจและตื่นกับเกมใหญ่ ทำให้ บาเบล ทำอะไรได้ไม่มากนัก


สำหรับคนที่สร้างความผิดพลาดมากที่สุดคือ
โฮเซ เรน่า โกลชาวสเปน ที่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เรน่า เขาเคยลงเล่นเกมใหญ่มามากมาย แต่ทำไมถึงตื่นเหลือเกินในเกมนี้ เหตุผลที่ผมพอจะมองหาได้คือ ความไม่แน่นอนของ เจมี คาร์ราเกอร์ ที่หลุดฟอร์ม ทำให้ เรน่า ไม่นิ่งตามไปด้วย ผลที่ออกมาจึงเละตุ้มเป๊ะ ทาง มาร์ติน สเคอร์เทล เขาเล่นได้ดีมากในเกมบุกไปเสมอ เชลซี 0-0 แต่เกมกับ อินเตอร์ ที่ซานซิโร่ กองหลังมีช่องโหว่มากมายในการยืนระหว่างเขากับคาร์ร่า แต่กองหน้าคู่อินเตอร์ ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมด และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ แม้แกนรุกผีแดงจะยิงทิ้งยิงขว้าง แต่ความผิดพลาดในเกมรับชนิดบอลเด็กมัธยมทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 3 ลูก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การยืนตำแหน่งของ สเคอร์เทล ยังไม่ดีนัก หากเจอกับทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านมาก ๆ ซึ่งมันส่งผลกระทบไปถึงคู่กองหลังของเขาด้วย


อย่างไรก็ดี ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเราทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล ได้เห็นภาพที่แท้จริงและชัดเจนที่สุดของทีมชุดนี้ว่า ยังไม่ดีพอเวลาไปเยือน เชลซี, อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด เราไม่สามารถเปิดหน้าสู้แลกหมัดได้ หรือเล่นในรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นมาเน้นรับแล้วโต้กลับ และถ้าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ยังไม่ได้ทำให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น วิธีทำทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลหน้า คือ ต้องหมุนเวียนผู้เล่น และเลือกใช้ระบบตามสถานการณ์ แต่ต้องใช้งานแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส, มาสเคราโน่, คาร์ราเกอร์, เรน่า ต่อเนื่องแทบทุกนัด ห้ามเปลี่ยน ทว่า ถ้าทีมสอยนักเตะระดับโลกเหมือน ตอร์เรส มาเสริมได้อีกสัก 3 ราย อาจทำให้เราสามารถเปิดหน้าสู้กับทีมใหญ่ได้ และใช้ระบบการเล่นเดิมของตัวเองในทุกนัด โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ปรับแค่แท็คติกในเกมเล็กน้อย โดยตำแหน่งที่ต้องการนักเตะระดับโลกมาเสริมคือ ฟลูแบ๊กทั้งสองข้าง และปีกขวาระดับโลก พร้อมกันนี้ ดาเนียล แอกเกอร์ ต้องไม่เจ็บพร้อมยืนระยะยาวได้ทั้งฤดูกาล



เกมนัดต่อไปที่เราจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ราฟา จะยึดหลักแนวทางการทำทีมต่อไปเช่นไร เขาจะยังยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 หรือปรับเปลี่ยนแท็คติกตามสถานการณ์ของทีม เป็นสิ่งที่น่าติดตามยิ่งนัก รวมทั้งเกม 3 นัดที่จะพบกับ อาร์เซนอล ด้วย ที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของทีมชุดนี้อีกครั้ง ถือเป็นสิ่งที่น่าติดตามดูยิ่งกว่า "นางทาส" ทางช่อง 7 สีซะอีก


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo



ไม่มีความคิดเห็น: