ท้องฟ้ายามนี้ดูขมุกขมัวเหมือนจิตรกรที่กำลังผสมสีน้ำในจานสี แล้วพลาดทำสีดำจาง  ๆ ผสมปนเปลงในช่องหลุมที่ผสมสีขาวทิ้งไว้ ทำให้สีขาวดูขุ่น ๆ ตุ่น ๆ  พิกล
ความรักที่สุดสดชื่นของคู่แต่งงานใหม่ จืดจางลงโดยฉับพลันชั่วขณะ  เพราะเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ  แม้เกมจะจบลงไปแล้ว หลังเสียงเป่านกหวีดรสขมของ สตีฟ เบนเนตต์  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงค้างอยู่ในจิตใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย  นานวันขึ้นไม่ได้จืดจางลง ทว่า  กลับตกตะกอนนอนก้นที่อยู่ห้องหัวใจแห่งความผิดหวัง
นี่คือ  "ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูล"  ตามห้วงความคิดคำนึงของผม  ปกติผมมักเสาะหาเหตุผลมาทัดทานการปราชัยของทีมได้ไม่ยากนัก แต่ครั้งนี้  ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ใครหลายคนอาจโทษผู้ตัดสิน แต่นั่นเป็นแค่การหา  "แพะรับบาป" เท่านั้น ใบเหลืองแดงของ มาสเคราโน่ คือใบเหลืองแดงที่ชัดเจน  และมันบ่งบอกอีกครั้งถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเป็นตัวตัดสินเกมใหญ่  ซึ่งลิเวอร์พูลในยุค ราฟาเอล เบนิเตซ  มักหลงลืมเสมอยามต้องปะแข้งกับทัพปีศาจแดง
หลายคนอาจบอกว่า เบนเนตต์  ทำเกินกว่าเหตุ แต่หากคุณดูฟุตบอลอังกฤษมานาน จะรู้จัก เบนเนตต์ เป็นอย่างดีว่า  สไตล์การเป่าของเขาเป็นเช่นไร และเหตุการณ์เช่นที่ มาสเคราโน่ ทำลงไป  เบนเนตต์ ไม่เคยปล่อยให้นักเตะลอยนวลแน่ โอเค สำหรับใบเหลืองของ เฟร์นานโด ตอร์เรส  อาจดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่ ตอร์เรส กล่าวกับ เบนเนตต์  มีคำพูดว่าอะไรบ้าง แต่มันเพียงพอที่จะเรียกใบเหลืองออกจากกระเป๋ากางเกงของ  เบนเนตต์ ได้
สำหรับมุมมองของนัดนี้ หลังปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 2 วันเต็ม  ๆ เพื่อนั่งนึกคิด วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นี่คือ เกมที่ ราฟา  ใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานทีมที่เขาพัฒนามาเกือบ 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนว่า ไม่ดีพอ  และยังห่างไกลจาก ผีแดง ของเซอร์เฟอร์กี้ ที่ได้รับการบ่มเพาะดูแลมามากกว่า 20  ปี ราฟา ตัดสินใจลองของด้วยการใช้ทีมชุดเดิมที่เขายกให้เป็น 11 ตัวจริง ณ เวลานี้  พร้อมแผนการเล่นที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนแปลงแค่รายละเอียดทางด้านแท็คติก  ซึ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแท็คติกที่ เฟอร์กี้ วางมาขยี้ลูกทีมของ  ราฟา
สิ่งที่ ราฟา โยนทิ้งไปในเกมนี้ คือ การคิดแล้วคิดอีกสิบตลบของเขา  ก่อนจะตัดสินใจเลือกวางแผนการเล่นที่เหมาะสมที่สุด  รวมถึงการวางแท็คติกที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย เวลาต้องปะทะกับทีมใหญ่  ที่เคยน็อคทั้ง ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า มาแล้ว อาจเพราะเขามั่นใจในแผนการเล่น  4-2-3-1 ที่บุกไปยันเสมอ เชลซี 0-0 และเล่นงาน "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน  จนหมดสภาพ 2 นัด แทนที่จะปรับเปลี่ยนแท็คติกและตัวผู้เล่นตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ  เหมือนที่เขาทำมาในอดีตเสมอ
ผมเชื่อว่า หากทีมไม่ได้ชนะรวดมา 7 นัด  ด้วยแท็คติก 4-2-3-1 ราฟา จะปรับเปลี่ยนแท็คติกเป็น 4-4-1-1  และมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่น รวมถึงตำแหน่งการยืนต่าง ๆ  แตกต่างไปจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่านี้  ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ราฟามั่นใจในระบบ 4-2-3-1 เพราะเขาเริ่มมองหาจุด "สมดุล"  ของทีม หลังความพ่ายแพ้ต่อ บาร์นสลีย์ ตกรอบเอฟเอ คัพ  และระบบนี้ได้ตอบโจทย์ของเขาใน 7 นัดที่ผ่านมาว่า  สมดุลที่สุดในการเล่นเกมรุก-รับ นั่นคือ รุกพอใช้ได้ รับพอใช้ได้  ไม่ดีเด่นไปสักทาง ขณะที่ระบบ 4-4-2 เกมรุกเด่น  แต่เกมรับด้อยเกินไปจนแพ้ได้กระทั่ง บาร์นสลีย์ ไม่สมดุล แต่ถ้าเลือกระบบ 4-5-1  หรือ 4-4-1-1 เกมรับแข็ง แต่เกมรุกด้อย ไม่สมดุลเช่นกัน  และยากที่จะเอาประตูจากผีแดงได้
แต่รายละเอียดเล็กน้อย ๆ  ที่อาจถูกมองข้ามไปในระบบ 4-2-3-1 คือ เกมเสมอ เชลซี  ระบบนี้ไม่สามารถเจาะเกมรับเชลซีได้ และเจาะเกมรับ อินเตอร์  ไม่เข้าเช่นกันในเกมที่แอนฟิลด์ จนกระทั่ง ราฟา เปลี่ยนตัวผู้เล่นและปรับมาเล่นระบบ  4-4-2 ถึงยิง อินเตอร์ ได้ 2 ประตู ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนและชนะรวดมาตลอด  ระบบดังกล่าวดีเพียงพอ
ทว่า สิ่งที่ราฟาหลงลืมไปคือ  เกมนี้ทีมต้องการชัยชนะ หาใช่ต้องการเกมที่สมดุล เหมือนที่ เซอร์เฟอร์กี้  แสดงให้เห็นบ่อยครั้งในอดีตว่า เล่นยังไงก็ได้ขอให้ชนะ ลิเวอร์พูล เป็นพอ  ทีมไม่จำเป็นต้องมีสมดุลเกมรุก-รับที่ดี เพราะฉะนั้น การไปเยือนผีแดง  เกมรับจึงสำคัญที่สุด เกมรุกเป็นเรื่องรองลงมา เมื่อ ราฟา เลือกจัดทีมที่สมดุล  เกมรับจึงไม่แข็งพอจะรับมือเกมรุกของผีแดง ขณะที่เกมรุกไม่ดีพอจะเจาะเกมรับผีแดง  ผลที่ออกมาก็เลยเป็นดั่งที่ได้เห็นกันไป
นอกจากนี้  ความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมากมายกับนักเตะหงส์แดง  เป็นสาเหตุใหญ่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายคู่แค้นตลอดกาลชนิดหมดสภาพเช่นนี้  ไรอัน บาเบล เต้นอย่างเห็นได้ชัด จับบอลแต่ละครั้งกระดอนไกลกว่า 1 หลา  ขณะที่ เจอร์ราร์ด หายไปกับสายลม ชนิดกลางรับคู่อย่าง อันแดร์สัน และคาร์ริค  ที่เซอร์จัดลงมาช่วยกันหยุด เจอร์ราร์ด ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย  นอกจากถ่ายบอลเดินเกมเล่นรุกเท่านั้น ฝั่ง ตอร์เรส ทำได้ตามมาตรฐาน  แต่เมื่อถูกรุมกินโต๊ะโดย ริโอ-วิดิช  คู่กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ตอร์เรส ไม่มีทางผ่านแน่นอน  เกมรุกของหงส์แดงที่พอจะคุกคามผีแดงได้บ้างมีเพียง บาเบล ที่ถูกปล่อยให้มีสถานการณ์  1 ต่อ 1 กับ เวส บราวน์ 2-3 ครั้ง ซึ่งเขามีศักยภาพดีพอจะฝ่าไปได้  แต่ด้วยความไม่มั่นใจและตื่นกับเกมใหญ่ ทำให้ บาเบล  ทำอะไรได้ไม่มากนัก
สำหรับคนที่สร้างความผิดพลาดมากที่สุดคือ โฮเซ เรน่า  โกลชาวสเปน ที่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เรน่า  เขาเคยลงเล่นเกมใหญ่มามากมาย แต่ทำไมถึงตื่นเหลือเกินในเกมนี้  เหตุผลที่ผมพอจะมองหาได้คือ ความไม่แน่นอนของ เจมี คาร์ราเกอร์ ที่หลุดฟอร์ม  ทำให้ เรน่า ไม่นิ่งตามไปด้วย ผลที่ออกมาจึงเละตุ้มเป๊ะ ทาง มาร์ติน  สเคอร์เทล เขาเล่นได้ดีมากในเกมบุกไปเสมอ เชลซี 0-0 แต่เกมกับ อินเตอร์  ที่ซานซิโร่ กองหลังมีช่องโหว่มากมายในการยืนระหว่างเขากับคาร์ร่า  แต่กองหน้าคู่อินเตอร์ ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมด  และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ แม้แกนรุกผีแดงจะยิงทิ้งยิงขว้าง  แต่ความผิดพลาดในเกมรับชนิดบอลเด็กมัธยมทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 3 ลูก  นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การยืนตำแหน่งของ สเคอร์เทล ยังไม่ดีนัก  หากเจอกับทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านมาก ๆ  ซึ่งมันส่งผลกระทบไปถึงคู่กองหลังของเขาด้วย
อย่างไรก็ดี  ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเราทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล  ได้เห็นภาพที่แท้จริงและชัดเจนที่สุดของทีมชุดนี้ว่า ยังไม่ดีพอเวลาไปเยือน เชลซี,  อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด เราไม่สามารถเปิดหน้าสู้แลกหมัดได้  หรือเล่นในรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัดได้  แต่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นมาเน้นรับแล้วโต้กลับ  และถ้าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ยังไม่ได้ทำให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น  วิธีทำทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลหน้า คือ ต้องหมุนเวียนผู้เล่น  และเลือกใช้ระบบตามสถานการณ์ แต่ต้องใช้งานแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส,  มาสเคราโน่, คาร์ราเกอร์, เรน่า ต่อเนื่องแทบทุกนัด ห้ามเปลี่ยน ทว่า  ถ้าทีมสอยนักเตะระดับโลกเหมือน ตอร์เรส มาเสริมได้อีกสัก 3 ราย  อาจทำให้เราสามารถเปิดหน้าสู้กับทีมใหญ่ได้ และใช้ระบบการเล่นเดิมของตัวเองในทุกนัด  โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ปรับแค่แท็คติกในเกมเล็กน้อย  โดยตำแหน่งที่ต้องการนักเตะระดับโลกมาเสริมคือ ฟลูแบ๊กทั้งสองข้าง  และปีกขวาระดับโลก พร้อมกันนี้ ดาเนียล แอกเกอร์  ต้องไม่เจ็บพร้อมยืนระยะยาวได้ทั้งฤดูกาล
เกมนัดต่อไปที่เราจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน  จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ราฟา จะยึดหลักแนวทางการทำทีมต่อไปเช่นไร  เขาจะยังยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 หรือปรับเปลี่ยนแท็คติกตามสถานการณ์ของทีม  เป็นสิ่งที่น่าติดตามยิ่งนัก รวมทั้งเกม 3 นัดที่จะพบกับ อาร์เซนอล ด้วย  ที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของทีมชุดนี้อีกครั้ง ถือเป็นสิ่งที่น่าติดตามดูยิ่งกว่า  "นางทาส" ทางช่อง 7 สีซะอีก
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น