วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ความหวังของเรา


ก่อนอื่นคงต้องบอกว่าเป็นเวลาเกือบสองเดือนแล้ว ที่ไม่ได้เข้ามาแบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อทีมรัก ลิเวอร์พูล เป็นที่ที่ทำให้บรรดากองเชียร์ตอ้งตกอยู่ภายใต้อารมณ์ที่หลากหลายในคราวเดียวกัน ในเวลาที่ทีมเล่นดี ทำเกมส์บุกเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งเหมือนกับว่าจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง นั้นเป็นภาพที่เหล่า

The Kop ทั้งหลายอยากจะเห็น แต่พอผ่านไปสักพักอารมณ์การอยากเล่นเกมส์รับกก็มีมากเสียเหลือเกิน แม้จะผ่านช่วงเวลาวิกฤตไปได้ แต่บรรดากองเชียร์ก็แทบลืมหายใจเลยก็ว่าได้ เหตุการณนี้พบเข้ากับตัวเองเลยหล่ะ เมื่อฤดูกาล 2007-2008 นัดก่อนตัดเชือก ยูฟาแชมเปี่ยนลีก นัดที่ 2 กับอาเซนอล ในจังหวะที่เราได้จุดโทษ กัปตันของเราเป็นผู้สังหาร แม้จะเชื่อในฝีเท้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องคิดว่า อย่ายิงข้ามคานน่ะกัปตัน บอกตามตรงหยุดหายใจไปแล้วด้วย แต่เราก็มีความสุขที่ได้ลุ้น (หนักจนเหนื่อย)


ผ่านไปแล้ว 14 นัด สำหรับการสถาปนาการลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ สำหรับทีมหงษ์แดง เป็นที่ทราบกันดีว่าปีนี้ หงษแดงมากแรงต้ังแต่เริ่มฤดูกาล กับการเอาชนะได้ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี บวกกับเหตุการโกงความตายอันมหัศจรรย์เกินที่จะบรรยายได้ในหลาย ๆ นัด หนึ่งในนั้นคือการเอาชนะ ผีแดงนั้นเอง แต่นัดที่ประทับใจสำหรับผุ้เขียนแล้วก็คือนัดที่เราเอาชนะแมนซิตตี จากที่ตามหลังอยู่ถึงสองประตูในครึ่งแรง เป็นการกลับมาที่ทำให้หัวใจพองโตไปหลายวันเลยหล่ะ


ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของนักเตะในทีม จะสังเกตว่า ทุกคร้ังที่ทีมตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องบุก แม้แต่เซนเตอร์อย่างคาราเกอร์ ซึ่งในฤดูกาลนี้เราจะเห็นการเติมขึ้นไป ไม่เพียงแค่เพิ่มการบุก แต่หลายครั้งเราจะเห็นการยิงเพื่อหวังเป็นประตูเลยทีเดียว และจากการทำแบบนี้ คาราเกอร์ก็ทำให้เรากลับมาชนะ เดอะโบโรได้ ด้วยประตูตีเสมอ และสุดท้านเราก็กลับมาชนะจากฝีเท้าของกัปตันจีจนได้


ผ่านมาจนถึงเดือนธันวาคมแล้ว ดูเหมือนว่าปัญหาเดิมก็กลับมาให้ทีมอีกครั้งนั้นคือ การยิงประตูไม่ได้ และผลที่ออกมาเสมอแบบไม่มีสกอร์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ มันเป็นช่วงเวลาที่ทีมสามารถทำคะแนนทิ้งห่างเพื่อขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแบบเดียว ๆ ได้ถึงสองครั้งสองคราว แต่ปัญหาก็คือเราทำไม่ได้ ไม่อยากจะคิดเลยว่า นี้อาจเป็นสาเหตที่ทำให้เราพลาดแชมป์ก็เป็นได้ สิ่งหนึ่งที่ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมาทีมของเรายังไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้มาก่อน นักเตะส่วนใหญ่ ไม่เคยต้องได้รับความกดดันในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ เจอร์ราด ผุ้เป็นทุกอย่างของทีม ในขณะที่บรรดากองหน้าก็ยังไม่อยู่ในช่วงที่ทอบฟอร์ม หลายคนอาจตั้งความหวังไว้ที่การมาของคีน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการทำประตูของเจอร์ราดและตอเรส แต่ก็ดูเหมือนว่า คีนเองก็เริ่มจะไม่เข้าใจตัวเองแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟอร์มของเค้ากันแน่ ประกอบกับปีนี้ตอเรสมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมาหลายครั้งแล้ว เชื่อแน่ว่า ทุกคนคงมุ่งความหวังทั้งหมดไปที่ คีน และนั้นยิ่งทำมห้เคขาต้องแบกรับภาระที่อาจจะไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในทีมเสปอร์


อีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือ ราฟาเอล เบนิเตส นายใหญ่ ปีนี้ทำการบ้านมาดี แต่ก็อาจจะมีบ้างที่การจัดตัวผุ้เล่นนั้น เป็นที่น่าสงสัยของกองเชียร์ หรือเป็นเพราะความเชื่อมันที่มีต่อลูกทีมในทุกตัวผู้เล่น (โดยเฉพาะ เบอร์ 18 ) ตัวผุ้เขียนเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็อดชื่นชมความขยันของหมอนี้ไม่ได้เช่นกัน บ่อยครั้งที่การตัดสินใจของราฟาส่งผลไปถึงผลการแข่งขันที่ไม่เป็นไปตามที่คิด อยากรู้เหมือนกันว่าถ้า เบอร์ 18 เจ็บเค้าจะจัดตัวอย่าไง (แอบบ่นเห็น ๆ )


แต่นี้ก็เป็นเพียงความกังวลในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าสุดท้ายแล้วก็มีความเชื่อว่านี้เป็นปีของเราที่จะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพื่อแชมป์ที่ 19 และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านัดต่อ ๆ ไปเราจะได้เห็นการทำประตูที่กระตุ่นความคึกคักของกองเชียร์ให้ได้เห็นกันบ้างนะคะ

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Liverpool VS Man.City

เหตการณ์โกงความตามกลับมาอีกครั้ง เรามาดูอารมณ์ที่หลากหลายในเกมส์ที่ Liverpool พลิกกลับมาชนะ Man.City 3-2ได้หลังจากที่โดนยิ่งนำไป 2-0 ในครึ่งแรก และเรามาแก้คืนได้ 3 ประตู จาก Torres 2 ประตูและประตูชัยจาก เดิกร์คอย ลูกรักของป๋าราฟากัน

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

หงส์ดีเหลือเชื่อหรือดีจนน่าเชื่อ?

ห่างหายไประยะหนึ่งสำหรับการเข้ามาสรรหาและอัพเดตบทความดี ๆ มาไว้ใน Boogger Liverpoolsport นี้ก็เปิดฤดุกาลมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เชื่อแน่ว่าบรรดากองเชียร์ The Kop ทั้งหลายคงกำลังนั่งยิ้มมีความสุขกับผลงานของทีมได้อย่างสบายอารมณ์กันอยู่ คงไม่มีใครสามรถปฏิเสธได้ ถึงฟอร์มการเล่นของ Liverpool ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ได้ ในครั้งนี้ได้นำบทวิเคราะห์จาก ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล มาเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ เพราะว่านาน ๆ ที จะมีใครออกมาวะเคราะห์ทีมของเราในทางที่ดีให้ได้ชื่นใจกันบางลองเข้าไปอ่านกันดูน่ะ

ผ่านมาเกือบ 2 เดือนนับตั้งแต่ฟุตบอลฤดูกาลใหม่เขี่ยลูกบอลออกสตาร์ท ดูเหมือนนับวัน "หงส์แดง" ก็จะยิ่งดูดีขึ้นเรื่อยๆกับผลงานที่ตอนนี้ทำเอาเด็กหงส์ฝันไกลถึงแชมป์นั้น มันมาจากเรื่องฟอร์มที่ดีเหลือเชื่อหรือดีจนน่าเชื่อว่าจะทำได้แบบนั้นกันแน่?อันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีกที่ยังไม่แพ้ใคร เสียแค่ 2 ประตู ในบอลถ้วยก็ทำได้สวยทั้งแชมเปี้ยนส์ ลีก และคาร์ลิ่ง คัพ ด้วยฟอร์มระดับนี้เสียงชื่นชมที่มีต่อทีมของราฟาเอล เบนิเตซ ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่นอกเหนือจากเสียงชื่นชมแล้ว อีกเสียงที่ดังขึ้นมามากในช่วงหลังก็คือเสียงของการ "ยอมรับ" ว่าลิเวอร์พูลทีมนี้เริ่มที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขา "ดีจริง"
ถ้าไม่ดีก็คงไม่ชนะคู่ปรับสำคัญทั้ง "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน ที่ถือเป็นเกมยากได้ทั้งสองนัดแน่ๆ แม้จะเสียรังวัดไปบ้างในเกมที่เสมอกับสโต๊กแบบน่าเขกก็ตาม ตอนนี้เด็กหงส์ไม่ว่าจะรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ก็เริ่มที่จะพูดกันถึงโอกาสได้เป็นทีมลุ้นแชมป์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี 18 ที่เท่ากับจำนวนแชมป์ที่ลิเวอร์พูลครองสถิติเบอร์หนึ่งตลอดกาลอยู่ แต่ก็ส่อแววจะเสียตำแหน่งดังกล่าวให้แมนฯ ยูไนเต็ดที่บี้กันมาจนเหลือห่างกันแค่แชมป์เดียวแล้ว ซึ่งมันไม่ยากเลยที่จะแซงหน้าถ้ามองจากรูปการณ์ปัจจุบัน เอาเถอะ ในฟอร์มการเล่นที่ดีและน่าประทับใจแบบนี้ หลายคนก็ยังไม่กล้าที่จะพูดกันอย่างเต็มปากว่าลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์ในฤดูกาลนี้อย่างจริงจัง
มันมีอะไรที่ต้องถามต้องตอบกันอีกพอสมควร แต่ในผลงานที่ปรากฏตอนนี้ก็ต้องบอกว่าพวกเขาไม่ธรรมดาเหมือนกัน เพราะขนาดว่าไม่ได้เล่นด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดอะไร กองหน้าก็มีปัญหายิงกันไม่ค่อยได้ แต่การทำได้ขนาดนี้ถือว่ายอดเยี่ยม ที่ต้องให้เครดิตกันเป็นพิเศษก็คือแบ็กโฟร์ที่ตอนนี้ดูเหมือนราฟาจะค้นพบตัวหลักแล้ว 3 ตำแหน่งคือเจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล และอัลบาโร่ อาร์เบลัว โดยเฉพาะคู่เซนเตอร์ที่ครบเครื่องอย่างคาร์ราเกอร์กับสเคอร์เทล ที่มีครบสูตรกองหลังที่ดีทั้งการอ่านเกม จังหวะการเข้าเสียบสกัด ลูกบู๊ ลูกบ้า กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของทีมในเวลานี้ แม้แต่กองหลังมาดดีอย่างดาเนี่ยล แอกเกอร์ก็ต้องยอมหลีกทางให้ ส่วนในแดนกลางนักเตะตัวโฮลดิ้งบอลทั้งฮาเวียร์ มาสเคราโน่และชาบี้ อลอนโซ่ ก็แข่งกันทำผลงานยกใหญ่เพราะไม่มีใครอยากจะนั่งสำรองอีกโดยเฉพาะรายหลังที่พยายามแสดงให้เห็นว่าทีมยังพึ่งพาได้เสมอ
ที่เหลือยังน่าเป็นห่วงจึงอยู่ที่แนวรุกที่ยังไม่ถึงกับลงตัวกันเป๊ะๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสองเสาหลักอย่างสตีเว่น เจอร์ราร์ดกับเฟร์นานโด ตอร์เรส ยังไม่ได้คืนฟอร์มกันเพราะมีเรื่องอาการบาดเจ็บรบกวน อีกส่วนอยู่ที่ตัวใหม่อย่างร็อบบี้ คีน ยังเล่นได้ไม่ถึงครึ่งของที่คนคาดหวัง เพียงแต่คีน ก็เริ่มจะมีอะไรดีๆให้เห็นเหมือนกันในช่วง 2-3 นัดหลังที่ลงสนาม เมื่อมีการ "ประสานงาน" ที่ช่วยทำทางให้เพื่อนยิงประตูได้ โดยเฉพาะนัดล่าสุดที่เคี้ยวทอฟฟี่นั้น คีน เป็นคนที่มีส่วนกับทั้ง 2 ประตูที่ตอร์เรสได้ยิงเต็มๆ มองแง่นึงก็อยากจะผสมโรงด่าเหมือนกันว่าเล่นได้ไม่คุ้มค่าตัว แต่มองอีกแง่ขนาดเล่นยังไม่เต็มร้อยลิเวอร์พูลก็ยังทำกันได้ดีขนาดนี้ ถ้าคีน ปรับตัวเข้าขากับตอร์เรสเหมือนที่เคยเล่นเข้าคู่สุดๆกับเบอร์บาตอฟอะไรจะเกิดขึ้นสำหรับลิเวอร์พูล?
ยิ่งเวลานี้ได้อาวุธหนักตัวใหม่เข้ามาอย่างอัลเบิร์ต ริเอร่า ที่ดูปรับตัวเข้ากับทีมและระบการเล่นฟุตบอลอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและเล่นดีเกินค่าตัวไปมากจนหลายคนสงสัยว่าถ้าเป็นแกเร็ธ แบร์รี่ เกมทางซ้ายจะน่ากลัววูบวาบได้ขนาดนี้หรือเปล่า มันก็เลยน่าสนใจเข้าไปอีก ปริศนาเรื่องศักยภาพที่แท้จริงของหงส์แดงนั้นเป็นสิ่งที่น่าลุ้นมากว่าถึงที่สุดแล้วทีมของราฟา จะเล่นกันได้ในระดับไหน จุดแข็งของพวกเขาตอนนี้คือแท็คติกส์ที่รัดกุม รวมกับความฟิตที่เหลือเชื่อที่สามารถไล่บี้คู่แข่งให้จนแต้มได้ตลอดทั้งเกมโดยแทบไม่มีอาการแผ่วให้เห็น ส่วนปัญหาเดิมๆเรื่องโรเตชั่นนั้น เริ่มที่จะไม่ส่งผลมากนัก (และรอดตัวไม่โดนวิจารณ์ด้วยเพราะทีมผลงานดี)
แต่เรื่องความหลากหลายในเกมรุกกับความสม่ำเสมอก็ยังต้องหาทางตอบโจทย์นี้กันต่อไปอีกระยะหนึ่ง สรุปแล้วเอาเป็นว่าเราพอจะเชื่อกันได้ว่าลิเวอร์พูลตอนนี้เริ่มที่จะ "ดีจริง" และมันก็น่าจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้ด้วยในอนาคต เพราะตอนนี้หงส์แดงยังตีปีกไม่เต็มกำลังเลย ถ้าพวกเขาทำได้ถึงขีดสุดและรักษามาตรฐานเอาไว้ได้ใน 3 เดือนนี้
บางทีเราอาจได้มีลุ้นกับหงส์เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีก็เป็นได้!
ที่มา: ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล วันที่ : 10/1/2008 3:18:10 AM

ฟรี สถิติเว็บไซต์seo


วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

++ Daniel Agger: I will be back ++


วันนี้หัวใจผมเรียกร้องอยากเขียนบทความเกี่ยวกับ นักเตะขวัญใจของผม อย่างนาย Daniel Agger ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สำหรับสถานการณ์โดยส่วนตัวของเขาสักหน่อย ซึ่งอาจจะสวนทางกับสถานการณ์ของทีมที่กำลังไปได้สวยในตอนนี้ ขอแล้วกันนะครับ พี่น้องชาวหงส์มารZ ทุกท่าน เพราะผมมีเวลาว่างแค่นิดหน่อยในช่วงนี้พอดี ผมเองในฐานะที่เป็นกองเชียร์หงส์คนหนึ่ง ซึ่งในอดีตไม่เคยมีนักเตะขวัญใจเลย ส่วนใหญ่จะเป็นการเชียร์ทีมในภาพรวมมากกว่า แต่ด้วยความที่สมัยเล่นบอลกับเพื่อนๆ ผมชอบโดนบังคับให้ไปเล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากทุกคนมันอยากจะเล่นกองกลาง กองหน้ากันหมด กองหลังมันพวกปิดทองหลังพระ มันก็เลยไม่ยอมเล่นกัน เวลาดูฟุตบอลผมจึงชอบดูการเล่นของเซนเตอร์ฮาล์ฟของทีมต่างๆ และทันทีที่ผมได้ดูเกมส์กระชับมิตรระหว่างทีมชาติเดนมาร์กกับทีมขวัญใจมหาชนชาวสยามอย่างทีมชาติอังกฤษ เมื่อปี 2005 ผมก็ไปสะดุดตาตรงปราการหลังตัวกลาง รูปร่างสูงแต่ผอมบางคนหนึ่ง เขาคนนั้นคือ แอกเกอร์ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งติดทีมชาติเดนมาร์กได้ไม่กี่นัด ซึ่งเล่นได้อย่างชาญฉลาดและโดดเด่นมาก ด้วยการประกบกองหน้าหมูพลิ้วของอังกฤษ เวย์น รูนี่ ซะไปไม่เป็น และแน่นอนเกมส์นั้นจบลงด้วยชัยชนะของ ทีมโคนม เหนือทีมชาติอังกฤษ 4:1 เขาคนนั้นเลยกลายเป็นขวัญใจของผมตั้งแต่นั้นมา


ต่อมามีข่าวว่าหงส์แดงสนใจนักเตะคนนั้น ผมดีใจมาก และความฝันของผมที่อยากเห็นแอกเกอร์ในฐานะนักเตะหงส์ก็เป็นจริง เมื่อราฟาคว้าตัวแอกเกอร์ มาในช่วงเปิดตลาดรอบสองในเดือน ม.ค. 2006 ด้วยค่าตัว 5.8 ล้านปอนด์ ซึ่งในฤดูกาลนั้น เขาได้ลงสนามเพียงแค่ 4 นัดเท่านั้น ต่อมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว เขาสามารถยึดตำแหน่งปราการหลังตัวจริงของทีมได้สำเร็จ และสามารถทำประตูได้ในเกมส์ที่หงส์เอาชนะเวสต์แฮม ด้วยสกอร์ 2-1 ซึ่งที่ได้รับการโหวตว่า เป็นประตูสวยที่สุดประจำเดือนของรายการ Match of the Day ทาง BBC นอกจากนั้น ยังถูกโหวตให้เป็นประตูที่สวยที่สุดของสโมสรเฉพาะเวทีพรีเมียร์ชิพในฤดูกาลที่แล้ว และยังยิงประตูได้ในเกมส์กับเบอร์บิงแฮมและอาเซนอล รวมทั้ง บิ๊กเกมส์แชมป์เปียนลีกกับเชลซีอีกด้วย โอ้ แอกเกอร์ของผมฟอร์มแหล่มซะนี่กระไร สมใจที่รอคอย และแล้วเขาก็เจ็บ ทีแรกผมคิดว่าคงเจ็บไม่นานหรอก เดี๋ยวคงกลับมา แต่สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดครับ หลังจากผ่าตัดและเรียกความฟิต โดยการใส่รองเท้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ระหว่างการฝึกซ้อมเตรียมคืนสนามฤดูกาลนั้นของเขาก็ต้องปิดฉากลงเมื่อได้รับบาดเจ็บซ้ำ ผลกระทบต่อทีมเป็นไง เราๆ ท่านๆ คงทราบครับ ทีมเราเป๋ไปเลยช่วงหนึ่ง จนราฟาต้องซื้อ น้องปลาคาฟ มาร์ติน สเคอเทล จากเซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มากอบกู้สถานการณ์ ในราคา 6.5 ล้านปอนด์ ทีมกว่าจะกลับมาเข้าที่เข้าทางได้ก็ปลายๆ ฤดูกาลแล้ว แต่มันก็สายเกินไป


ถึงแม้ผมจะชื่นชอบแอกเกอร์ แต่ผมเองก็ชื่นชอบในแนวทางการเล่นของสเคอร์เทลเช่นเดียวกัน ล่าสุดตำนานของหงส์อย่าง แกรี่ จิลเลสพี ผู้ที่เคยเล่นกับยอดกองหลังอย่าง มาร์ก ลอเรนสัน, อลัน แฮนเซน และฟิล นีล ออกมาชมการเล่นของสเคอเทล เป็นการใหญ่ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ทั้งแอกเกอร์และสเคอร์เทลแทบไม่มีใครรู้จัก ทั้งสองคน เป็นนักเตะค่าตัวแสนถูกเมื่อเทียบกับศักยภาพแล้ว คุณจะไปหานักเตะคุณภาพระดับนี้ ในราคา 5-6 ล้านปอนด์ อย่างนี้ได้ที่ไหน ในส่วนนี้ราฟาและทีมงานแมวมอง ควรได้รับเครดิตไปแบบเต็มๆ ทั้งสองคนมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน แอกเกอร์เป็นกองหลังเชิงสูง อ่านเกมส์ดี จ่ายบอลดี แถมมีลูกยิงไกลที่หวังผลได้ ส่วนสเคอเทลสูงกว่าแอกเกอร์นิดหน่อย เล่นลูกโหม่งได้ดี แข็งแกร่งมีความเร็วมากกว่าแอกเกอร์ มีลูกบู๊ สู้ไม่ถอย ในมุมมองผมน่าจะเป็นคู่กองหลังที่ดีที่สุดคู่หนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีม แม้ยังไม่ได้เล่นคู่กันเลยในฤดูกาลนี้ก็ตาม เพราะแอกเกอร์ผมต้องใส่สนับก้นอยู่ข้างสนามตลอดในฤดูกาลนี้ แต่ทั้งสองคนอายุยังน้อย เพียงอายุ 23 ปีเท่ากัน ประสบการณ์ยังเป็นรองคาร์ร่าอยู่พอสมควร ผมเองคิดว่า ราฟาคงหนักใจพอสมควร (แต่เป็นการหนักใจที่ผู้จัดการทีมทุกคนอยากเป็น) เพราะทีมมีเซนต์เตอร์ชั้นดีอยู่ในทีมถึง 4 ราย โอเค ในส่วนของฮูเปีย ราฟาเองอาจวางให้เป็นแบ็กอัพของนักเตะรุ่นน้อง เวลาเล่นในคาร์ลิ่งคัพ หรือไว้สลับกันเล่นในเกมส์เจอทีมที่อ่อนกว่าในบ้านเป็นหลัก ล่าสุดน้าฮูก็โดนตัดตัวออกจากเกมส์แชมเปียนลีก ด้วยเหตุผลที่ทีมต้องส่งเด็กที่เป็นเด็กสร้างของสโมสรหรือทีมในอังกฤษ รวม 8 คน และออกอาการน้อยใจนิดๆ เหมือนกัน แต่ทำไงได้กฎก็ต้องเป็นกฎ และนั่นผมคิดว่าเลยเป็นที่มาของการใส่ชื่อฮูเปีย เป็นสำรองในเกมส์แดงเดือดแทนที่แอกเกอร์ เอ๊ะ แล้วอย่างนี้แอกเกอร์ของผมจะน้อยใจมั๊ยเนี่ย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าราฟามีเหตุผล 3 ประการในการตัดสินใจใช้งาน สเคอเทลคู่คาร์ร่า ในฤดูกาลนี้

ประการแรก แอกเกอร์เพิ่งหายเจ็บกลับมา หลังจากบาดเจ็บไปหลายเดือน ราฟาคงยังไม่อยากใช้งานหนักๆ เนื่องจากจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในฤดูกาลที่ผ่านมา คงจะค่อยๆ ใช้งานแอกเกอร์ โดยเฉพาะเกมส์ในบ้านที่เจอทีมเล็กๆ หรือในฟุตบอลถ้วย อย่างเอฟเอคัพ หรือ ในช่วงที่โปรแกรมแชมป์เปียนลีกชุกๆ จำเป็นต้องรักษาความสดของนักเตะ เพื่อรับกับเกมส์หนักในพรีเมียร์ลีกต่อไป

ประการที่สอง ฟอร์มอันคงเส้นคงวาของสเคอร์เทล นับตั้งแต่น้องปลาคาฟ ย้ายมาเล่นในถิ่นแอนด์ฟิล มีแค่เพียงสองนัดเท่านั้น ที่เขาเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐาน นัดแรกคือนัดเปิดตัวกับ Havant Waterlooville และนัดที่แพ้แมนฯ ยู เมื่อฤดูกาลที่แล้ว นอกจากนั้น หมอนี่เล่นได้อย่างโดดเด่นมาตลอด เป็นกองหลังตัวใหญ่ เร็ว เล่นลูกโหม่งดี แถมยังใจสู้ บู๊แหลกอีกต่างหาก อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ฟอร์มอย่างนี้แอกเกอร์คงต้องยอม ส่วนคาร์ร่า แม้เทคนิคจะเป็นรองแอกเกอร์และสเคอเทล แต่ก็เป็นกองหลังจอมขยัน อีกทั้งเป็นรองกัปตันทีม เป็นนักเตะคนหนึ่งที่คอยกระตุ้นทีมอยู่ตลอดเวลา ประสบการณ์สูง ราฟาไม่ให้ลงคงมีเคือง แอกเกอร์ในเวลานี้คงต้องยอมรับบทบาทกองหลังตัวเลือกที่ 3 ไปโดยปริยาย


ประการสุดท้าย ด้วยเหตุผลที่กองหลังจำเป็นต้องเล่นกันอย่างเข้าขารู้ใจ การเปลี่ยนกองหลังบ่อยๆ ไม่เป็นผลดีต่อทีมในภาพรวมแน่ โดยเฉพาะในฤดูกาลที่มีความกดดันมหาศาลกดลงบนบ่าทั้งสองข้างของราฟา เช่นฤดูกาลนี้ เนื่องจากไอ้สองมะกันมันจ้องอยู่ รวมทั้ง กองหลังคู่อย่าง คาร์ร่าและสเคอเทล ก็เล่นด้วยกันอย่างยอดเยี่ยม ฤดูกาลนี้ลงสนามในพรีเมียร์ลีกมา 4 นัด เสียไปแค่ 2 ประตู หนึ่งประตูในจำนวนนั้นมาจากการยิงไกลของมิโด เห็นแล้วต้องบอก “ให้มันไปเถอะ” นอกนั้น เล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงกองหลังตัวกลางที่เล่นกันได้ดีอยู่แล้ว

ผมเองก็หวังว่า แอกเกอร์จะมีความอดทน รอโอกาส พัฒนาร่างกาย พัฒนาความฟิต และมื่อโอกาสนั้นมาถึงต้องโชว์ผลงานให้ดีที่สุด อย่างไรก็ดี สถานการณ์อย่างนี้จะเป็นผลดีต่อทีม นักเตะแข่งกันโชว์ผลงานออกมา อีกใจหนึ่งกลัวแอกเกอร์น้อยใจ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมจึงอยากให้ราฟาจัดแอกเกอร์ลงเป็นตัวจริงในนัดที่หงส์แดงจะเปิดบ้านตีหม้อ (Stoke City) ในวันเสาร์นี้ซักหน่อย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หลังจากเมื่อวานได้อ่านบทสัมภาษณ์แล้ว ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ซึ่งแอกเกอร์บอกว่า “ผมคิดว่าการมีชื่อในเกมส์กับมาร์กเซย์เป็นสัญญาณที่ดีในการกลับสู่ทีมของผม และผมจะตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริงต่อไป” เหมือนเป็นการให้สัญญาว่า I will be back!! ++

ข่าวหรือบทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ hongmarnz ผู้ต้องการเผยแพร่ข่าวหรือบทความต้องให้เครดิตผู้แปลข่าวหรือบทความ และ hongmarnz



ฟรี สถิติเว็บไซต์seo


วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

ชัยชนะในศึกแดงเดือด




ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้วสำหรับศึกแดงเดือดภาคแรกประจำฤดูกาล 2008 ด้วยชัยชนะที่แสนล้ำค่าและน่าจดจำที่สุดของเฟล่า The Kop ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าลูกทีมของราฟาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่จะดูเป็นรองในช่วงครึ่งแรก การวิ่งศู้ฟัดของเหล่านักเตะในยามที่ขาดทั้ง Gerrard และ Torres แต่กลับเป็นผลดีสำหรับทีม โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ชมเกมส์นี้ แต่อาศัยการได้รับฟังการบรรยายทาง วิทยุ น่าเสียดายเป็นที่สุด

ประเด็นที่อยากจะพูดถึงก็คือ การพัฒนาขึ้นของทีมเชื่อแน่ว่าในช่วงการเข้ามาคุมทีมของราฟา เราน่าจะมีชัยเหนือทีมปีศาจแดงในทุกเกมส์ แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จด้วยเหตุผลของความไม่เด็ดขาด หรืออย่างที่ทราบกัน ชัยชนะในครั้งนี้ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคอย่างเช่นที่ผีแดงเคยทำกัทีมเรา เพราะหลายต่อหลายนัดที่โชคดีเป็นของปีศาจแดง ครั้งนี้ชัยชนะล้วนมาจากทั้งความสามารถ แท็กติก และความทุ่มเทของนักเตะ

สุดท้ายขอให้เกมส์ต่อ ๆ ไปของทีมเราสามารถเล่นได้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็นและความเชียบขาดต้องมีอยู่เสมอ


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo


วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

รอบบีคีน กับรูปแบบการเล่น



ในสัปดาห็นี้ไม่มีบอลพรีเมียลีกเตะ ก็เลยหาบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับทีม ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ ซึ่งบทความนี้นำมาจากรายการ Match of the day ของ BBC เป็นการแสดงทรรศนะของ Lee Dixon อดีตฟูลแบคตัวเก่งของอาเซน่อลที่มาเป็น pundit ในวันนั้น เค้าพูดถึงแทกติกของทีมเราในการใช้งานร็อบบี้ คีน ในช่วงที่ผ่านมาและเกมกับแอสตัน วิลล่าครับ

"ผมรู้สึกแปลกกับบทบาทในทีมของรอบบี้ คีนหลังจากย้ายมาร่วมทีมหงส์แดงในราคาที่แพงระยับ ที่สเปอร์ คีนมีอิทธิพลกับทีมมากและเล่นได้อย่างยอดเยี่มกับคู่ขาอย่างดิมิทรี เบอบาทอฟ คีนทำประตุไปกว่า 23 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้วและมากมายจากจำนวนนั้นมาจากการประสานงานกับเบอบาทอฟ แล้วเค้าจะทำได้ยอดเยี่มเช่นนี้ไม๊ เมื่อจับคู่กับเฟอนานโด ทอเรส?

แต่ เมื่อเค้าถูกจับมาเล่นในตำแหน่งวิงซ้ายของแผงกองกลางห้าคน ผมเองซึ่งเล่นตำแหน่งฟูลแบคมาก่อน ถ้าได้ลงเล่นปะทะกับคีนในตำแหน่งนี้ ผมจะรู้สึกยินดีมาก เพราะคีนจะอันตรายมากถ้าเล่นอยู่ในพื้นที่ของ centrl forward ดังนั้นยิ่งเค้าออกมาจากพื้นที่นั้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งสบายใจมากท่านั้น

ในนัดเจอกับแอสตันวิลล่า คีนเริ่มต้นในตำแหน่งวิง ซ้าย ซึ่งเค้าก้อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเค้าไม่ถนัดเล่นตรงนั้น บ่อยครั้งจึงเห็นเค้าหุบเข้าไปเล่นกลางสนาม เพื่อเข้าไปเล่นบอล แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติการเล่นของเค้าคือกลางสนาม ไม่ใช่ริมเส้น ซึ่งเมื่อเค้าทิ้งตำแหน่งตัวเองมานั้น จะทำให้พื้นที่ทางฝั่งซ้ายโล่งไม่มีคนเล่นบอล ซึ่งเราจะเห็นสองถึงสามครั้งในเกมกับวิลล่า ที่อลอนโซ่มองเพื่อถ่ายบอลไปเล่นทางฝั่งซ้าย แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

ในนัดเจอกับวิลล่า เราจะเห็นสถานการณ์ที่นักเตะหงส์หกคนจุกรวมอยู่พื้นที่ตรงกลาง ซึ่งรวมกับนักเตะเกมรับของวิลล่าแล้ว มันจะยิ่งแน่นในพื้นที่ตรงกลาง ซึ่ง"ง่าย"ต่อการป้องกันของกองหลัง แต่หลังจากที่ทอเรสได้รับบาดเจ็บ รอบบี้ คีน ก็เริ่มส่งผลต่อทีม และต่อเกมนี้

เดวิด เอนก๊อก ลงมาในตำแหน่งของทอเรสและคีนถุกโยกกลับเข้าไปเล่นในตำแหน่งถนัด มันเป็นงานยากของกองหลังที่จะประกบเค้า และคีนก็ได้สร้างจังหวะดีๆในการทำปะตูให้กับเอนก๊อก แต่ลูกนั้นเอนก๊อกก็ยิงข้ามคานออกไป และเราจะเห็นโอกาสทำประตูของรอบบี้ คีนอีกหลายๆครั้งในครึ่งหลังที่เกิดจากการประสานงานกับอลอนโซ่ หรือแม้แต่การสร้างโอกาสด้วยตัวเองของเค้าเมื่อได้เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวกลาง มีโอกาสดีๆหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่ใกล้เคียงกับการเป็นประตู ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเค้าขาดความมั่นใจ

ในตำแหน่งที่เค้าถนัด คุณจะคาดหวังว่าเค้าจะลงไปล้วงบอล พาบอลขึ้นมาเล่นและทำประตู ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าไอริชแมนคนนี้จะไม่แฮปปี้กับการเล่นของเค้าและส่งผลถึงการทำประตู ซึ่งกองหน้าเมื่อขาดประตู ก็ต้องขาดความมั่นใจ

จากช่วงต้นเกมที่ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด จนถึงเมื่อถูกโยกมาเล่นในตำแหน่งตรงกลางที่เค้าถนัด คีนก็ดูแฮปปี้กว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลให้เค้ามีบทบาทต่อเกมนี้ไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้ง ต่างจากเมื่ออยู่ในตำแหน่งทางกราบซ้ายที่ ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย



ลิเวอร์พูลตามล่าแกเรธ แบรี่มาตลอดในช่วงซัมเมอนี้ แต่พวกเค้าต้องอย่าลืมว่าตำแหน่งจริงๆของแบรี่คือมิดฟิลกลางสนาม ซึ่งการเซ็นสัญญากับอัลเบิต ริเอร่า อาจจะเป็นคำตอบที่ดี หลังจากที่เค้าได้ลองใช้ไรอัล บาเบิลและเจอมาน เพ้นแน้นมาระยะหนึ่ง ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เค้าทั้งคู่ไม่เวิค

ตอนนี้ลิเวอร์พูลแข็งแกร่งมากในตำแหน่งมิดฟิลตรงกลางแต่เกมทางด้านริมเส้นนั้นยังเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งก็จบด้วยการเล่นแบบเจาะเข้าไปตรงกลาง จะเห้นว่าในนัดเจอวิลล่า ราฟาไม่ได้เปลี่ยนแปลงแทกติกอะไรมาก แต่การขาดกำลังขับเคลื่อนเกมอย่างสตีเฟ่น เจอราดและการเสียทอเรสไปจากการบาดเจ็บ ผลเสมอที่ได้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย และราฟาควรจะพอใจกับมัน

ผมคิดว่า ราฟา ควรจะมีความกล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆมากกว่านี้นิดนึง (I just think he should have been a bit more adventurous.) อาจจะเป็นการถอดนักเตะบางคนออกจากทีมและให้คีนทำงานของเค้าในตำแหน่งที่เค้าถนัด ผมไม่เห็นว่าการที่นักเตะค่าตัว 20 ล้านปอนด์ที่ทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ และอันตรายมากหน้าเขตโทษ จะถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่เค้าไม่ถนัดจะส่งผลดีต่อทีม"

ที่มา http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/eng_prem/7591343.stm
http://www.hongmarnz.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=23984#254655

ฟรี สถิติเว็บไซต์seo

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

Torres







ฟรี สถิติเว็บไซต์seo