วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

ราฟา : พวกเราแสดงศักดานุภาพ



บิ๊กบอสของลิเวอร์พูล "ราฟา เบนิเตส" รู้สึกพอใจกับการการแสดงออกของลูกทีมหลังจาก "เฟอร์นันโด ตอเรส" ซัดประตูที่ 28 ของฤดูกาลในเกมส์เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้นัดที่ 207 และช่วยให้มีแต้มนำเอฟเวอร์ตันอยู่ 5 แต้มรั้งอันดับ 4 อยู่ในขณะนี้


ตอเรสซัดเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 7 หลังจากอลองโซ่เกือบโดนยาคูบูแย่งหน้ากรอบเขตโทษก่อนที่เขาจะแก้ตัวแย่งกลับมาได้ และทำให้ทีมชนะมาในที่สุด


ลิเวอร์พูลไม่สามารถที่จะทำสกอร์นำห่างได้ในช่วงครึ่งเวลาแรก แต่ราฟาก็ยังอิ่มเอมใจกับสิ่งที่ทีมกลับมาได้จากเมื่อสัปดาห์ที่ผานมา


"พวกเรามีความสุขมากสำหรับกำลังใจของแฟนบอล มันทำให้พวกเราชนะและเป็นการชนะไปกลับในการเจอกับเอฟเวอร์ตัน มันเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับทัมและสโมสร"


"พวกเรามีโอกาสมากมายในครึ่งเวลาแรก แต่พวกเราสามารถทำประตูที่สองได้ และพวกเราก็รู้เมื่อนำแค่ 1-0 การได้ลูกเตะมุม ฟรีคิ๊ก และคุณต้องทำให้ได้"


"ผมคิดว่าทีมได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมาหลังจากที่ทำได้แย่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นพิเศษสำหรับในครึ่งแรก พวกเราแสดงคุณภาพออกมาอย่างมาก พวกเรารู้ว่าพวกเราเองมีสิ่งนั้น แต่มันสำคัญว่าที่จะพยายามและแสดงมันออกมาในทุกๆเกมส์"

ตอเรสยังคงทำลายสถิติที่เป็นผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาเล่นในปีแรกและทำประตูได้มากที่สุด และราฟาเองก็ชื่นชมเป็นอย่างมากสำหรับประตูที่พาทีมชนะในนัดนี้

"ผมคิดว่าตอเรสแสดงความเหลือเชื่อไม่มากก็น้อยต่อทุกๆคน"
"พวกเรารู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่วิเศษและสามารถทำประตูได้ แต่สำหรับ 28 ประตูตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามามันไม่ได้เป็นเรื่องง่าย โดยอย่างยิ่งสำหรับนักเตะต่างชาติ"

"เขาเป็นศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของยุโรป และเป็นที่เข้าใจได้ดีเลยว่าเขาและสตีเวน เจอราร์ดเป็นนักเตะหวัใจสำหรับเรา อย่างไรก็ดีก็ยังมีเค้าท์และบาเบลที่อยู่ข้างหน้าคอยรักษาสมดุลย์และสร้างสรรค์โอกาส"

ชัยชนะในครั้งนี้มีผลต่อการที่ต้องเจออาร์เซนอลในยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เพราะจะช่วยให้ปลอดภัยในอันดับที่ 4 ไปได้ แต่ราฟาก็ยังกังวลและเชื่อว่าการแย่งชิงพื้นที่ยังไม่จบ

"พวกเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีตอนนี้ แต่พวกเรายังต้องเก็บชัยชนะต่อไปเมื่อให้แน่ใจว่าเราจะจบด้วย 4 อันดับแรก"

"มันจะเปลี่ยนอีกครั้งในสัปดาห์หน้าเมื่อเราต้องออกไปเยือนอาร์เซนอลและพวกเขาแข่งกับดาร์ยี้ ดังนั้นพวกเราจะต้องทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุด"

"ชัยชนะในครั้งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราเพื่อจะเจอกับอาร์เซนอลในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก"

ที่มา : LFC.tv
เรียบเรียง : Jetke


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo



วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

Red Preview : อาร์เซน่อล - ลิเวอร์พูล....by ลูกแม่กิ่ง



Red Preview : อาร์เซน่อล - ลิเวอร์พูล....by ลูกแม่กิ่ง

ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย : 2 เม.ย.2551

สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
เวลา : 1.45 น.
ถ่ายทอดสด : ช่อง 7, ESPN

เริ่มแล้วนะครับสำหรับมหากาพย์ไตรภาคระหว่างปืนใหญ่-หงส์แดง
ที่จะต้องลงเล่นต่อเนื่องถึง 3 นัดติดต่อกันในระยะเวลาแค่ 6 วัน
เป็นการเจอกันใน 2 รายการใหญ่ที่ต่างก็หวังความสำเร็จเอาไว้เหมือนๆกันด้วย

อาร์เซนอลนั้นบอกได้เลยว่าถึงจะตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ 6 แต้ม แต่ก็ยังหวังในพรีเมียร์ลีกมากกว่าแชมเปี้ยนส์ ลีก
ขณะที่ลิเวอร์พูล แน่นอนว่าหวังในแชมเปี้ยนส์ ลีกได้เพียงรายการเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตามการพบกันใน 3 นัดต่อจากนี้ นัดแรกจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุดเพราะจะบ่งชี้อนาคตในอีก 2 นัดที่เหลือได้เป็นอย่างดีครับ ซึ่งแต่ละนัดก็จะมี "เกมแพลน" ที่แตกต่างกันออกไปด้วย

ในเกมแรกที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมนี้ ถ้าถามทางฝั่งอาร์เซนอลนั้น แน่นอนว่ากันเนอร์สต้องการชัยชนะสถานเดียวเท่านั้น และต้องเป็นการชนะขาดด้วยเพราะจะทำให้เกมพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์ที่ก็ยังจำเป็นต้องเก็บ 3 คะแนนไว้ไล่แมนฯ ยูไนเต็ด เบาลงได้เพราะลิเวอร์พูลคงไม่เสี่ยงส่งตัวหลักลงต่อเนื่อง 3 นัด ยิ่งแพ้ในเกมแรก

ราฟาก็ต้องพักตัวหลักในเกมวันเสาร์เพื่อรอแก้แค้นในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดรีเทิร์นที่แอนฟิลด์มากขึ้นเท่านั้น
แต่ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่าราฟาน่าจะ "ทิ้ง" เกมพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์นี้ไปเลยด้วยซ้ำ จากสถานการณ์ที่นำเอฟเวอร์ตันอยู่ 5 แต้ม ถึงแพ้ขี้หมูขี้หมาก็ยังมีแต้มห่างอยู่ 2 หรือ 4 แต้ม (ในกรณีถ้าเอฟเวอร์ตันเสมอ)

อาร์เซนอลนั่นแหละครับจะมีปัญหามากกว่าเพราะต้องเน้นหมดทุกนัด สภาพร่างกายของนักเตะที่เริ่มออกอาการล้ามาหลายนัดก่อนหน้านี้ก็จะส่งผลแน่นอน โดยเฉพาะในเกมที่แอนฟิลด์วันอังคารหน้า
เกมแพลนของราฟา สำหรับการไปเยือนเอมิเรตส์

ดึกวันนี้ก็จะเป็นเกมแพลนเหมือนที่ใช้มาตลอดในการเล่นฟุตบอลยุโรปคือแพ็กเกมรับให้แน่นและใช้จังหวะสวนกลับเร็วเล่นงานเป็นหลัก
ที่ผ่านสูตรนี้ใช้ได้ผลเสมอ แม้แต่อินเตอร์ มิลานก็เสร็จมาแล้ว (ถึงจะไม่ฟูลทีมสมบูรณ์ก็เถอะ แพ้ก็คือแพ้)

แต่ถามว่าสูตรนี้จะได้ผลสำหรับทีมจากอังกฤษเหมือนกันหรือ?
คำตอบคือ "ไม่แน่" ครับ เพราะถึง "บรรยากาศ" ของเกมทั้งราฟา และเวนเกอร์จะทำให้มันเป็นเกม "ยุโรป"

ซึ่งไม่เหมือนเกมภายในประเทศ แต่สไตล์บอลเร็วของอาร์เซนอลก็เป็นของแสลงมากๆสำหรับแนวรับลิเวอร์พูล
ก็เหมือนที่เวนเกอร์ขู่ไว้ครับว่ายิ่งหงส์แดงลงไปแพ็กเกมมากเท่าไหร่ก็มีโอกาสเสร็จมากขึ้นเท่านั้น
ที่เสร็จก็เพราะเกมรุกของอาร์เซนอล เน้นการค่อยๆต่อบอลขึ้นมาเป็นชุดๆ ทีมไหนที่ตั้งรับอย่างเดียวก็จะโดนบุกอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเสียประตู

เกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลก็โดนบุกข้างเดียวแบบนี้เหมือนกันจนสุดท้ายก็ทานไม่ไหว โดนยิงประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกม แถมเกือบแพ้คารังด้วยถ้าเซสก์ไม่ยิงไปชนเสาก่อน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าอุดแล้วจะแพ้เสมอไป เพราะหลายๆนัดก่อนหน้านี้อาร์เซนอลก็มีปัญหาเจาะไม่เข้าเหมือนกัน จนกระทั่งมาปลดล็อกตัวเองในเกมที่ผ่านมากับโบลตัน
มันก็จะเป็นการวัดกันระหว่างเกมรับของลิเวอร์พูลกับเกมรุกของอาร์เซนอลเองว่าใครจะกินใคร

ถ้าราฟา ขันเกมรับมาดีแน่นปึ้กไม่เสียท่าง่ายๆ และรู้จักที่จะ "ขู่" บ้างด้วยการใช้ความเร็วของบาเบิลและตอร์เรส เล่นงานเกมรับอาร์เซนอลในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม ไม่ปล่อยให็โดนโขยกข้างเดียว ก็มีโอกาสจะยันเสมอหรือถึงชนะกลับมา
แต่ถ้ายันไม่อยู่แน่นอนว่าโอกาสแพ้ก็มีค่อนข้างสูง

เกมนี้อย่าคาดหวังครับว่าลิเวอร์พูลจะต่อบอลสวยๆสู้กับอาร์เซนอลได้ อย่างดีก็แค่อุดกระจายแล้วรอลุ้นในเกมโต้กลับเร็ว ซึ่งต้องภาวนาให้บอลอย่าไปตายที่เดิร์ค เคาท์ บ่อยๆเพราะจะทำให้จังหวะเสีย
อาร์เซนอลเองไม่ใช่จะไม่มีปัญหา เกมรับเสียประตูง่ายเกินไปในหลายนัด ขณะที่เกมรุกก็ยังไม่ค่อยคม ชนะโบลตันได้ก็เรียกว่าฟ้าสั่งมาจริงๆ เพียงแต่ชัยชนะในเกมนี้ก็นำความมั่นใจกลับมาได้เยอะ

เมื่อมองปัจจัยรอบด้านแล้วก็ถือว่าค่อนข้างสูสีไม่ถึงกับห่างชั้น โดยน้ำหนักให้อาร์เซนอลมากกว่าเล็กๆจากการที่ได้เล่นในบ้านที่คุ้นเคยสนามและมีแฟนบอลให้การหนุนหลัง
ลิเวอร์พูล อาจจะแพ้ในเกมนี้ครับและอาจจะยิงประตูอเวย์โกล์ไม่ได้ ดีที่สุดก็คือผลเสมอเอาไว้ก่อน
แล้วไว้ไปรอล้างตากันในเกมที่แอนฟิลด์สัปดาห์หน้าเอาครับ


ข่าวประจำวันที่ : 2 เมษายน 2551

ฟรี สถิติเว็บไซต์seo



วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551

You'll never walk alone...

เนื้อเพลง

When you walk through a storm,
Hold your head up high,
And don't be afraid of the dark,
At the end of a storm, there's a golden sky,
And the sweet silver song of a lark.

Walk on through the wind,
Walk on through the rain,
Though your dreams be tossed and blown...

Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone,
You'll never walk alone...

Walk on, walk on, with hope in your heart,
And you'll never walk alone,
You'll never walk alone...


เพลงประจำสโมสร Liverpool

[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


หัวข้อ

ประวัติเพลง You|ll never walk alone
เพลง you'll never walk alone นี้ร้องโดย เจอร์รี่ มาสเดนสส์ โดยเป็นอัลบั้มของเขาเอง ในปี 1963 ประวัติคนร้องนี้ เขาเป็นชาวเมอร์ซี่ย์ไซด์ โดยกำเนิดแต่ว่า เขาเป็นแฟนทีม เอฟเวอร์ตัน และก่อนที่เขา จะออกเทปชุดนี้ มานั้น บรรดาโปรดิวเซอร์ทั้งหลาย บรรดาคอลัมนิสต์ทั้งหลาย ก็บอก กับเขาว่า เพลงชุดนี้เจ๊งแน่ๆ ไม่รุ่ง ไม่ต้องออกเทปดีกว่า แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้ทำให้บั่นทอนกำลังใจของ เจอรรี่ มาสเดนส์ ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทำให้เขา มีกำลังใจที่จะออกเทปชุดนี้ต่อไปอีก

เมื่อเพลง you'll never walk alone ได้ออกสู่ประชาชน ในถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์ และชาวอังกฤษทุกเมือง สโมสรที่ชาญฉลาดนาม LIVERPOOL F.C. ได้ทำการ ขอซื้อลิขสิทธิ์ เพลงนั้นทันที ในปี 1963 เอง แทบไม่น่าจะเชื่อว่า เพลงนี้ ที่ทุกโปรดิวเซอร์ บอกว่าเจ๊งแน่ๆ กลับดังมากจนเป็นที่ฮิตติดหูในถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์ และชาวอังกฤษ ความแรงของเพลงนี้ยังไม่หมดเท่านี้ เพลง you'll never walk alone ยังสามารถติด 1 ใน 10 ของสหราชอาณาจักร( U.K.) ประกอบด้วย อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ อีกด้วย และที่สำคัญเจอรรี่ มาสเดนส์ ก็สนิทกับ บิลล์ แชงคลี่ย์ อีกด้วย และบรรดา the kop ก็นับถือเขาเช่นเดียวกันกับ แชงคลี่ย์ เลยก็ว่าได้เพราะว่าเขานำสิ่งดีๆสู่สโมสร

ก่อนเกมการแข่งขัน เพลง you'll never walk alone ทุกแม็ตซ์ บรรดา THE KOP ทุกๆท่าน จะร่วมกันร้องเพลงนี้ และก็ชูผ้าพันคอ หรือสัญลักษณ์ ที่เกี่ยวกับลิเวอร์พูล เช่น ภาพบิลล์ แชงคลี่ย์ บ็อบ เพลสลี่ย์ คำสรรเสริญต่างๆ และที่น่าประทับใจก็คือ กองเชียร์จะน้ำตาไหล โดยไม่รู้ตัวและก็ร้องเพลงไปด้วย (น่าประทับใจจริงๆ) เมื่อทีมชนะ เพลง you'll never walk alone บรรดาทุกคนที่เป็น THE KOP ร่วมกันร้องเพลงนี้ สดุดีนักเตะทุกคน ที่ทำให้พวกเขามีความสุขจะเห็นได้จาก น้ำตาของบรรดากองเชียร์ ที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว กรณีที่ทีมชนะแน่นอน พวกเขาก็จะร้องเพลงนี้ ก่อนการแข่งขันเสร็จสิ้นเล็กน้อย กรณีที่ทีมอาจจะชนะ พวกเขาก็จะร้องเพลง เพื่อกระตุ้นนักเตะให้มุ่งมั่น และให้พยายามเก็บชัยชนะให้ได้ และก็กระโดดโลดเต้นกัน อย่างมีความสุข เมื่อทีมนั้นสามารถชนะคู่แข่งได้ ตรงกันข้ามกับกองเชียร์ทีมเยือน พวกเขาคงลืมไปว่า THIS IS ANFIELD

เมื่อทีม พ่ายแพ้ เพลง you'll never walk alone ผู้ที่เรียกตนเองว่า THE KOP ทุกคนต้องนั่งน้ำตาซึมตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ลืม ก็คือพยายามร้องเพลง you 'll never walk alone ไปด้วยแม้น้ำตาจะไหลอยู่ก็ตาม หลังการแข่งขันจบลง แม้ว่าการแข่งขันจะจบแล้ว พวกเขาก็ยังคงฝันร้าย อีกต่อไปจนกว่าการแข่งขันนัดต่อไป จะมาถึงนั่นเอง กรณีพิเศษในการใช้เพลงนี้

ที่มา www.liverpoolthailand.com


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo



วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551

เราจะกลับมาในศึกดาร์บี้










รัช สนับสนุน ราฟา ให้ลืมความผิดหวังที่ Old Trafford และกลับมาเอาชนะเอฟเวอตันในศึกดาร์บี้ในวันอาทิตย์นี้ รัชเชื่อว่านักเตะจะต้องลืมความพ่ายแพ้ให้เร็วที่สุด และเอาชนะเอฟเวอรตันเพื่อเป็นการชดเชยที่เยี่ยมยอด
รัช ว่า สิ่งที่ดีหลังจากเกมที่ผ่านมา คือ เราจะมีเกมส์ใหญ่อีกที่ในอาทิตย์นี้ กับเอฟเวอตัน ที่จะมีที่แอนฟิล ซึ่งเป็นดาร์บี้แมต ที่ยิ่งใหญ่ในรอบปี ทีมเรามีโอกาสที่ดีที่จะกลับมาสู่เกมส์ของเราอีกครั้ง สำหรับเกมกับแมนยู ไม่มีใครเถึยงว่า ในความจริงแล้ง แมนยูสมควรจะชนะ สำหรั้บเกมวันนั้น เราต้องไม่มีความเสียใจ แต่ว่าเราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าใจครั้งต่อไปเราจะได้ชัยชนะในนัดต่อไป สำหรับผลของการแข่งขันอาทิตย์หน้าจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้ไปแชมเปี้ยนลีก สองแต้มที่ห่างกันมันสำคัญมากสำหรับพวกเขา ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะมาตั้งรับอย่างที่เคยทำมาเช่นปีก่อน ถ้าพวกเขาไม่พยายามที่จะชนะ มันจำทำให้พวกเขาลำบากในการแย่งลำดับที่ 4 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมส์นี้จะเป็นเกมส์ที่เร็วมากซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แก่ฝั่งเรา ลิเวอร์พูลมีนักเตะที่ดีกว่าและนักเตะก็สลับเปลี่ยนกันเล่น ซึ่งทำให้ผู้เล่นเราสดกว่าเอฟเวอร์ตันในเกมส์นี้ ุกุญแจสำคัญก็คือการกลับมาสู่เกมส์ของเราซึ่งเล่นได้ดีจนถึงก่อนกมกับแมนยู ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ ผมมั่นใจว่าเราจะเก็บสามแต้มที่พวกเขาต้องการได้ และมันก็จะเกิดคำถามว่าเอฟเวอร์ตันจะจัดการกับ 5 แต้มที่พวกเขาตามเราได้อย่างไร


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo



ภาพสะท้อนที่ชัดเจน

ท้องฟ้ายามนี้ดูขมุกขมัวเหมือนจิตรกรที่กำลังผสมสีน้ำในจานสี แล้วพลาดทำสีดำจาง ๆ ผสมปนเปลงในช่องหลุมที่ผสมสีขาวทิ้งไว้ ทำให้สีขาวดูขุ่น ๆ ตุ่น ๆ พิกล


ความรักที่สุดสดชื่นของคู่แต่งงานใหม่ จืดจางลงโดยฉับพลันชั่วขณะ เพราะเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ แม้เกมจะจบลงไปแล้ว หลังเสียงเป่านกหวีดรสขมของ
สตีฟ เบนเนตต์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงค้างอยู่ในจิตใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย นานวันขึ้นไม่ได้จืดจางลง ทว่า กลับตกตะกอนนอนก้นที่อยู่ห้องหัวใจแห่งความผิดหวัง


นี่คือ
"ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูล" ตามห้วงความคิดคำนึงของผม ปกติผมมักเสาะหาเหตุผลมาทัดทานการปราชัยของทีมได้ไม่ยากนัก แต่ครั้งนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ใครหลายคนอาจโทษผู้ตัดสิน แต่นั่นเป็นแค่การหา "แพะรับบาป" เท่านั้น ใบเหลืองแดงของ มาสเคราโน่ คือใบเหลืองแดงที่ชัดเจน และมันบ่งบอกอีกครั้งถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเป็นตัวตัดสินเกมใหญ่ ซึ่งลิเวอร์พูลในยุค ราฟาเอล เบนิเตซ มักหลงลืมเสมอยามต้องปะแข้งกับทัพปีศาจแดง

หลายคนอาจบอกว่า เบนเนตต์ ทำเกินกว่าเหตุ แต่หากคุณดูฟุตบอลอังกฤษมานาน จะรู้จัก เบนเนตต์ เป็นอย่างดีว่า สไตล์การเป่าของเขาเป็นเช่นไร และเหตุการณ์เช่นที่ มาสเคราโน่ ทำลงไป เบนเนตต์ ไม่เคยปล่อยให้นักเตะลอยนวลแน่ โอเค สำหรับใบเหลืองของ เฟร์นานโด ตอร์เรส อาจดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่ ตอร์เรส กล่าวกับ เบนเนตต์ มีคำพูดว่าอะไรบ้าง แต่มันเพียงพอที่จะเรียกใบเหลืองออกจากกระเป๋ากางเกงของ เบนเนตต์ ได้


สำหรับมุมมองของนัดนี้ หลังปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 2 วันเต็ม ๆ เพื่อนั่งนึกคิด วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
นี่คือ เกมที่ ราฟา ใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานทีมที่เขาพัฒนามาเกือบ 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนว่า ไม่ดีพอ และยังห่างไกลจาก ผีแดง ของเซอร์เฟอร์กี้ ที่ได้รับการบ่มเพาะดูแลมามากกว่า 20 ปี ราฟา ตัดสินใจลองของด้วยการใช้ทีมชุดเดิมที่เขายกให้เป็น 11 ตัวจริง ณ เวลานี้ พร้อมแผนการเล่นที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนแปลงแค่รายละเอียดทางด้านแท็คติก ซึ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแท็คติกที่ เฟอร์กี้ วางมาขยี้ลูกทีมของ ราฟา


สิ่งที่ ราฟา โยนทิ้งไปในเกมนี้ คือ
การคิดแล้วคิดอีกสิบตลบของเขา ก่อนจะตัดสินใจเลือกวางแผนการเล่นที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการวางแท็คติกที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย เวลาต้องปะทะกับทีมใหญ่ ที่เคยน็อคทั้ง ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า มาแล้ว อาจเพราะเขามั่นใจในแผนการเล่น 4-2-3-1 ที่บุกไปยันเสมอ เชลซี 0-0 และเล่นงาน "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน จนหมดสภาพ 2 นัด แทนที่จะปรับเปลี่ยนแท็คติกและตัวผู้เล่นตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เขาทำมาในอดีตเสมอ


ผมเชื่อว่า หากทีมไม่ได้ชนะรวดมา 7 นัด ด้วยแท็คติก 4-2-3-1 ราฟา จะปรับเปลี่ยนแท็คติกเป็น 4-4-1-1 และมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่น รวมถึงตำแหน่งการยืนต่าง ๆ แตกต่างไปจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ราฟามั่นใจในระบบ 4-2-3-1 เพราะเขาเริ่มมองหาจุด
"สมดุล" ของทีม หลังความพ่ายแพ้ต่อ บาร์นสลีย์ ตกรอบเอฟเอ คัพ และระบบนี้ได้ตอบโจทย์ของเขาใน 7 นัดที่ผ่านมาว่า สมดุลที่สุดในการเล่นเกมรุก-รับ นั่นคือ รุกพอใช้ได้ รับพอใช้ได้ ไม่ดีเด่นไปสักทาง ขณะที่ระบบ 4-4-2 เกมรุกเด่น แต่เกมรับด้อยเกินไปจนแพ้ได้กระทั่ง บาร์นสลีย์ ไม่สมดุล แต่ถ้าเลือกระบบ 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 เกมรับแข็ง แต่เกมรุกด้อย ไม่สมดุลเช่นกัน และยากที่จะเอาประตูจากผีแดงได้


แต่รายละเอียดเล็กน้อย ๆ ที่อาจถูกมองข้ามไปในระบบ 4-2-3-1 คือ เกมเสมอ เชลซี ระบบนี้ไม่สามารถเจาะเกมรับเชลซีได้ และเจาะเกมรับ อินเตอร์ ไม่เข้าเช่นกันในเกมที่แอนฟิลด์ จนกระทั่ง ราฟา เปลี่ยนตัวผู้เล่นและปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 ถึงยิง อินเตอร์ ได้ 2 ประตู ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนและชนะรวดมาตลอด ระบบดังกล่าวดีเพียงพอ



ทว่า สิ่งที่ราฟาหลงลืมไปคือ เกมนี้ทีมต้องการชัยชนะ หาใช่ต้องการเกมที่สมดุล
เหมือนที่ เซอร์เฟอร์กี้ แสดงให้เห็นบ่อยครั้งในอดีตว่า เล่นยังไงก็ได้ขอให้ชนะ ลิเวอร์พูล เป็นพอ ทีมไม่จำเป็นต้องมีสมดุลเกมรุก-รับที่ดี เพราะฉะนั้น การไปเยือนผีแดง เกมรับจึงสำคัญที่สุด เกมรุกเป็นเรื่องรองลงมา เมื่อ ราฟา เลือกจัดทีมที่สมดุล เกมรับจึงไม่แข็งพอจะรับมือเกมรุกของผีแดง ขณะที่เกมรุกไม่ดีพอจะเจาะเกมรับผีแดง ผลที่ออกมาก็เลยเป็นดั่งที่ได้เห็นกันไป


นอกจากนี้
ความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมากมายกับนักเตะหงส์แดง เป็นสาเหตุใหญ่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายคู่แค้นตลอดกาลชนิดหมดสภาพเช่นนี้ ไรอัน บาเบล เต้นอย่างเห็นได้ชัด จับบอลแต่ละครั้งกระดอนไกลกว่า 1 หลา ขณะที่ เจอร์ราร์ด หายไปกับสายลม ชนิดกลางรับคู่อย่าง อันแดร์สัน และคาร์ริค ที่เซอร์จัดลงมาช่วยกันหยุด เจอร์ราร์ด ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย นอกจากถ่ายบอลเดินเกมเล่นรุกเท่านั้น ฝั่ง ตอร์เรส ทำได้ตามมาตรฐาน แต่เมื่อถูกรุมกินโต๊ะโดย ริโอ-วิดิช คู่กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ตอร์เรส ไม่มีทางผ่านแน่นอน เกมรุกของหงส์แดงที่พอจะคุกคามผีแดงได้บ้างมีเพียง บาเบล ที่ถูกปล่อยให้มีสถานการณ์ 1 ต่อ 1 กับ เวส บราวน์ 2-3 ครั้ง ซึ่งเขามีศักยภาพดีพอจะฝ่าไปได้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจและตื่นกับเกมใหญ่ ทำให้ บาเบล ทำอะไรได้ไม่มากนัก


สำหรับคนที่สร้างความผิดพลาดมากที่สุดคือ
โฮเซ เรน่า โกลชาวสเปน ที่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เรน่า เขาเคยลงเล่นเกมใหญ่มามากมาย แต่ทำไมถึงตื่นเหลือเกินในเกมนี้ เหตุผลที่ผมพอจะมองหาได้คือ ความไม่แน่นอนของ เจมี คาร์ราเกอร์ ที่หลุดฟอร์ม ทำให้ เรน่า ไม่นิ่งตามไปด้วย ผลที่ออกมาจึงเละตุ้มเป๊ะ ทาง มาร์ติน สเคอร์เทล เขาเล่นได้ดีมากในเกมบุกไปเสมอ เชลซี 0-0 แต่เกมกับ อินเตอร์ ที่ซานซิโร่ กองหลังมีช่องโหว่มากมายในการยืนระหว่างเขากับคาร์ร่า แต่กองหน้าคู่อินเตอร์ ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมด และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ แม้แกนรุกผีแดงจะยิงทิ้งยิงขว้าง แต่ความผิดพลาดในเกมรับชนิดบอลเด็กมัธยมทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 3 ลูก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การยืนตำแหน่งของ สเคอร์เทล ยังไม่ดีนัก หากเจอกับทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านมาก ๆ ซึ่งมันส่งผลกระทบไปถึงคู่กองหลังของเขาด้วย


อย่างไรก็ดี ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเราทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล ได้เห็นภาพที่แท้จริงและชัดเจนที่สุดของทีมชุดนี้ว่า ยังไม่ดีพอเวลาไปเยือน เชลซี, อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด เราไม่สามารถเปิดหน้าสู้แลกหมัดได้ หรือเล่นในรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นมาเน้นรับแล้วโต้กลับ และถ้าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ยังไม่ได้ทำให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น วิธีทำทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลหน้า คือ ต้องหมุนเวียนผู้เล่น และเลือกใช้ระบบตามสถานการณ์ แต่ต้องใช้งานแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส, มาสเคราโน่, คาร์ราเกอร์, เรน่า ต่อเนื่องแทบทุกนัด ห้ามเปลี่ยน ทว่า ถ้าทีมสอยนักเตะระดับโลกเหมือน ตอร์เรส มาเสริมได้อีกสัก 3 ราย อาจทำให้เราสามารถเปิดหน้าสู้กับทีมใหญ่ได้ และใช้ระบบการเล่นเดิมของตัวเองในทุกนัด โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ปรับแค่แท็คติกในเกมเล็กน้อย โดยตำแหน่งที่ต้องการนักเตะระดับโลกมาเสริมคือ ฟลูแบ๊กทั้งสองข้าง และปีกขวาระดับโลก พร้อมกันนี้ ดาเนียล แอกเกอร์ ต้องไม่เจ็บพร้อมยืนระยะยาวได้ทั้งฤดูกาล



เกมนัดต่อไปที่เราจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ราฟา จะยึดหลักแนวทางการทำทีมต่อไปเช่นไร เขาจะยังยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 หรือปรับเปลี่ยนแท็คติกตามสถานการณ์ของทีม เป็นสิ่งที่น่าติดตามยิ่งนัก รวมทั้งเกม 3 นัดที่จะพบกับ อาร์เซนอล ด้วย ที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของทีมชุดนี้อีกครั้ง ถือเป็นสิ่งที่น่าติดตามดูยิ่งกว่า "นางทาส" ทางช่อง 7 สีซะอีก


ฟรี สถิติเว็บไซต์seo