วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551
ราฟา : พวกเราแสดงศักดานุภาพ
บิ๊กบอสของลิเวอร์พูล "ราฟา เบนิเตส" รู้สึกพอใจกับการการแสดงออกของลูกทีมหลังจาก "เฟอร์นันโด ตอเรส" ซัดประตูที่ 28 ของฤดูกาลในเกมส์เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้นัดที่ 207 และช่วยให้มีแต้มนำเอฟเวอร์ตันอยู่ 5 แต้มรั้งอันดับ 4 อยู่ในขณะนี้
ตอเรสซัดเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 7 หลังจากอลองโซ่เกือบโดนยาคูบูแย่งหน้ากรอบเขตโทษก่อนที่เขาจะแก้ตัวแย่งกลับมาได้ และทำให้ทีมชนะมาในที่สุด
ลิเวอร์พูลไม่สามารถที่จะทำสกอร์นำห่างได้ในช่วงครึ่งเวลาแรก แต่ราฟาก็ยังอิ่มเอมใจกับสิ่งที่ทีมกลับมาได้จากเมื่อสัปดาห์ที่ผานมา
"พวกเรามีความสุขมากสำหรับกำลังใจของแฟนบอล มันทำให้พวกเราชนะและเป็นการชนะไปกลับในการเจอกับเอฟเวอร์ตัน มันเป็นอะไรที่สำคัญมากสำหรับทัมและสโมสร"
"พวกเรามีโอกาสมากมายในครึ่งเวลาแรก แต่พวกเราสามารถทำประตูที่สองได้ และพวกเราก็รู้เมื่อนำแค่ 1-0 การได้ลูกเตะมุม ฟรีคิ๊ก และคุณต้องทำให้ได้"
"ผมคิดว่าทีมได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมาหลังจากที่ทำได้แย่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นพิเศษสำหรับในครึ่งแรก พวกเราแสดงคุณภาพออกมาอย่างมาก พวกเรารู้ว่าพวกเราเองมีสิ่งนั้น แต่มันสำคัญว่าที่จะพยายามและแสดงมันออกมาในทุกๆเกมส์"
ตอเรสยังคงทำลายสถิติที่เป็นผู้เล่นต่างชาติที่เข้ามาเล่นในปีแรกและทำประตูได้มากที่สุด และราฟาเองก็ชื่นชมเป็นอย่างมากสำหรับประตูที่พาทีมชนะในนัดนี้
"ผมคิดว่าตอเรสแสดงความเหลือเชื่อไม่มากก็น้อยต่อทุกๆคน"
"พวกเรารู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่วิเศษและสามารถทำประตูได้ แต่สำหรับ 28 ประตูตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เข้ามามันไม่ได้เป็นเรื่องง่าย โดยอย่างยิ่งสำหรับนักเตะต่างชาติ"
"เขาเป็นศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของยุโรป และเป็นที่เข้าใจได้ดีเลยว่าเขาและสตีเวน เจอราร์ดเป็นนักเตะหวัใจสำหรับเรา อย่างไรก็ดีก็ยังมีเค้าท์และบาเบลที่อยู่ข้างหน้าคอยรักษาสมดุลย์และสร้างสรรค์โอกาส"
ชัยชนะในครั้งนี้มีผลต่อการที่ต้องเจออาร์เซนอลในยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก เพราะจะช่วยให้ปลอดภัยในอันดับที่ 4 ไปได้ แต่ราฟาก็ยังกังวลและเชื่อว่าการแย่งชิงพื้นที่ยังไม่จบ
"พวกเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีตอนนี้ แต่พวกเรายังต้องเก็บชัยชนะต่อไปเมื่อให้แน่ใจว่าเราจะจบด้วย 4 อันดับแรก"
"มันจะเปลี่ยนอีกครั้งในสัปดาห์หน้าเมื่อเราต้องออกไปเยือนอาร์เซนอลและพวกเขาแข่งกับดาร์ยี้ ดังนั้นพวกเราจะต้องทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นสุด"
"ชัยชนะในครั้งนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราเพื่อจะเจอกับอาร์เซนอลในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก"
ที่มา : LFC.tv
เรียบเรียง : Jetke
ป้ายกำกับ:
ตอเรส,
เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้,
ราฟา เบนิเตส,
ลิเวอร์พูล,
สตีเวน เจอราร์ด
วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551
Red Preview : อาร์เซน่อล - ลิเวอร์พูล....by ลูกแม่กิ่ง
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย : 2 เม.ย.2551
สนาม : เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
เวลา : 1.45 น.
ถ่ายทอดสด : ช่อง 7, ESPN
เริ่มแล้วนะครับสำหรับมหากาพย์ไตรภาคระหว่างปืนใหญ่-หงส์แดง
ที่จะต้องลงเล่นต่อเนื่องถึง 3 นัดติดต่อกันในระยะเวลาแค่ 6 วัน
เป็นการเจอกันใน 2 รายการใหญ่ที่ต่างก็หวังความสำเร็จเอาไว้เหมือนๆกันด้วย
อาร์เซนอลนั้นบอกได้เลยว่าถึงจะตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ 6 แต้ม แต่ก็ยังหวังในพรีเมียร์ลีกมากกว่าแชมเปี้ยนส์ ลีก
ขณะที่ลิเวอร์พูล แน่นอนว่าหวังในแชมเปี้ยนส์ ลีกได้เพียงรายการเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการพบกันใน 3 นัดต่อจากนี้ นัดแรกจะเป็นเกมที่สำคัญที่สุดเพราะจะบ่งชี้อนาคตในอีก 2 นัดที่เหลือได้เป็นอย่างดีครับ ซึ่งแต่ละนัดก็จะมี "เกมแพลน" ที่แตกต่างกันออกไปด้วย
ในเกมแรกที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมนี้ ถ้าถามทางฝั่งอาร์เซนอลนั้น แน่นอนว่ากันเนอร์สต้องการชัยชนะสถานเดียวเท่านั้น และต้องเป็นการชนะขาดด้วยเพราะจะทำให้เกมพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์ที่ก็ยังจำเป็นต้องเก็บ 3 คะแนนไว้ไล่แมนฯ ยูไนเต็ด เบาลงได้เพราะลิเวอร์พูลคงไม่เสี่ยงส่งตัวหลักลงต่อเนื่อง 3 นัด ยิ่งแพ้ในเกมแรก
ราฟาก็ต้องพักตัวหลักในเกมวันเสาร์เพื่อรอแก้แค้นในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดรีเทิร์นที่แอนฟิลด์มากขึ้นเท่านั้น
แต่ผมก็ยังเชื่อลึกๆว่าราฟาน่าจะ "ทิ้ง" เกมพรีเมียร์ลีกในวันเสาร์นี้ไปเลยด้วยซ้ำ จากสถานการณ์ที่นำเอฟเวอร์ตันอยู่ 5 แต้ม ถึงแพ้ขี้หมูขี้หมาก็ยังมีแต้มห่างอยู่ 2 หรือ 4 แต้ม (ในกรณีถ้าเอฟเวอร์ตันเสมอ)
อาร์เซนอลนั่นแหละครับจะมีปัญหามากกว่าเพราะต้องเน้นหมดทุกนัด สภาพร่างกายของนักเตะที่เริ่มออกอาการล้ามาหลายนัดก่อนหน้านี้ก็จะส่งผลแน่นอน โดยเฉพาะในเกมที่แอนฟิลด์วันอังคารหน้า
เกมแพลนของราฟา สำหรับการไปเยือนเอมิเรตส์
ดึกวันนี้ก็จะเป็นเกมแพลนเหมือนที่ใช้มาตลอดในการเล่นฟุตบอลยุโรปคือแพ็กเกมรับให้แน่นและใช้จังหวะสวนกลับเร็วเล่นงานเป็นหลัก
ที่ผ่านสูตรนี้ใช้ได้ผลเสมอ แม้แต่อินเตอร์ มิลานก็เสร็จมาแล้ว (ถึงจะไม่ฟูลทีมสมบูรณ์ก็เถอะ แพ้ก็คือแพ้)
แต่ถามว่าสูตรนี้จะได้ผลสำหรับทีมจากอังกฤษเหมือนกันหรือ?
คำตอบคือ "ไม่แน่" ครับ เพราะถึง "บรรยากาศ" ของเกมทั้งราฟา และเวนเกอร์จะทำให้มันเป็นเกม "ยุโรป"
ซึ่งไม่เหมือนเกมภายในประเทศ แต่สไตล์บอลเร็วของอาร์เซนอลก็เป็นของแสลงมากๆสำหรับแนวรับลิเวอร์พูล
ก็เหมือนที่เวนเกอร์ขู่ไว้ครับว่ายิ่งหงส์แดงลงไปแพ็กเกมมากเท่าไหร่ก็มีโอกาสเสร็จมากขึ้นเท่านั้น
ที่เสร็จก็เพราะเกมรุกของอาร์เซนอล เน้นการค่อยๆต่อบอลขึ้นมาเป็นชุดๆ ทีมไหนที่ตั้งรับอย่างเดียวก็จะโดนบุกอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเสียประตู
เกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลก็โดนบุกข้างเดียวแบบนี้เหมือนกันจนสุดท้ายก็ทานไม่ไหว โดนยิงประตูตีเสมอในช่วงท้ายเกม แถมเกือบแพ้คารังด้วยถ้าเซสก์ไม่ยิงไปชนเสาก่อน
แต่ก็ไม่ใช่ว่าอุดแล้วจะแพ้เสมอไป เพราะหลายๆนัดก่อนหน้านี้อาร์เซนอลก็มีปัญหาเจาะไม่เข้าเหมือนกัน จนกระทั่งมาปลดล็อกตัวเองในเกมที่ผ่านมากับโบลตัน
มันก็จะเป็นการวัดกันระหว่างเกมรับของลิเวอร์พูลกับเกมรุกของอาร์เซนอลเองว่าใครจะกินใคร
ถ้าราฟา ขันเกมรับมาดีแน่นปึ้กไม่เสียท่าง่ายๆ และรู้จักที่จะ "ขู่" บ้างด้วยการใช้ความเร็วของบาเบิลและตอร์เรส เล่นงานเกมรับอาร์เซนอลในช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม ไม่ปล่อยให็โดนโขยกข้างเดียว ก็มีโอกาสจะยันเสมอหรือถึงชนะกลับมา
แต่ถ้ายันไม่อยู่แน่นอนว่าโอกาสแพ้ก็มีค่อนข้างสูง
เกมนี้อย่าคาดหวังครับว่าลิเวอร์พูลจะต่อบอลสวยๆสู้กับอาร์เซนอลได้ อย่างดีก็แค่อุดกระจายแล้วรอลุ้นในเกมโต้กลับเร็ว ซึ่งต้องภาวนาให้บอลอย่าไปตายที่เดิร์ค เคาท์ บ่อยๆเพราะจะทำให้จังหวะเสีย
อาร์เซนอลเองไม่ใช่จะไม่มีปัญหา เกมรับเสียประตูง่ายเกินไปในหลายนัด ขณะที่เกมรุกก็ยังไม่ค่อยคม ชนะโบลตันได้ก็เรียกว่าฟ้าสั่งมาจริงๆ เพียงแต่ชัยชนะในเกมนี้ก็นำความมั่นใจกลับมาได้เยอะ
เมื่อมองปัจจัยรอบด้านแล้วก็ถือว่าค่อนข้างสูสีไม่ถึงกับห่างชั้น โดยน้ำหนักให้อาร์เซนอลมากกว่าเล็กๆจากการที่ได้เล่นในบ้านที่คุ้นเคยสนามและมีแฟนบอลให้การหนุนหลัง
ลิเวอร์พูล อาจจะแพ้ในเกมนี้ครับและอาจจะยิงประตูอเวย์โกล์ไม่ได้ ดีที่สุดก็คือผลเสมอเอาไว้ก่อน
แล้วไว้ไปรอล้างตากันในเกมที่แอนฟิลด์สัปดาห์หน้าเอาครับ
ข่าวประจำวันที่ : 2 เมษายน 2551
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2551
You'll never walk alone...
| |||||
| |||||
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2551
เราจะกลับมาในศึกดาร์บี้
รัช สนับสนุน ราฟา ให้ลืมความผิดหวังที่ Old Trafford และกลับมาเอาชนะเอฟเวอตันในศึกดาร์บี้ในวันอาทิตย์นี้ รัชเชื่อว่านักเตะจะต้องลืมความพ่ายแพ้ให้เร็วที่สุด และเอาชนะเอฟเวอรตันเพื่อเป็นการชดเชยที่เยี่ยมยอด รัช ว่า สิ่งที่ดีหลังจากเกมที่ผ่านมา คือ เราจะมีเกมส์ใหญ่อีกที่ในอาทิตย์นี้ กับเอฟเวอตัน ที่จะมีที่แอนฟิล ซึ่งเป็นดาร์บี้แมต ที่ยิ่งใหญ่ในรอบปี ทีมเรามีโอกาสที่ดีที่จะกลับมาสู่เกมส์ของเราอีกครั้ง สำหรับเกมกับแมนยู ไม่มีใครเถึยงว่า ในความจริงแล้ง แมนยูสมควรจะชนะ สำหรั้บเกมวันนั้น เราต้องไม่มีความเสียใจ แต่ว่าเราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าใจครั้งต่อไปเราจะได้ชัยชนะในนัดต่อไป สำหรับผลของการแข่งขันอาทิตย์หน้าจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้ไปแชมเปี้ยนลีก สองแต้มที่ห่างกันมันสำคัญมากสำหรับพวกเขา ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะมาตั้งรับอย่างที่เคยทำมาเช่นปีก่อน ถ้าพวกเขาไม่พยายามที่จะชนะ มันจำทำให้พวกเขาลำบากในการแย่งลำดับที่ 4 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกมส์นี้จะเป็นเกมส์ที่เร็วมากซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แก่ฝั่งเรา ลิเวอร์พูลมีนักเตะที่ดีกว่าและนักเตะก็สลับเปลี่ยนกันเล่น ซึ่งทำให้ผู้เล่นเราสดกว่าเอฟเวอร์ตันในเกมส์นี้ ุกุญแจสำคัญก็คือการกลับมาสู่เกมส์ของเราซึ่งเล่นได้ดีจนถึงก่อนกมกับแมนยู ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ ผมมั่นใจว่าเราจะเก็บสามแต้มที่พวกเขาต้องการได้ และมันก็จะเกิดคำถามว่าเอฟเวอร์ตันจะจัดการกับ 5 แต้มที่พวกเขาตามเราได้อย่างไร
ภาพสะท้อนที่ชัดเจน
ท้องฟ้ายามนี้ดูขมุกขมัวเหมือนจิตรกรที่กำลังผสมสีน้ำในจานสี แล้วพลาดทำสีดำจาง ๆ ผสมปนเปลงในช่องหลุมที่ผสมสีขาวทิ้งไว้ ทำให้สีขาวดูขุ่น ๆ ตุ่น ๆ พิกล
ความรักที่สุดสดชื่นของคู่แต่งงานใหม่ จืดจางลงโดยฉับพลันชั่วขณะ เพราะเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ แม้เกมจะจบลงไปแล้ว หลังเสียงเป่านกหวีดรสขมของ สตีฟ เบนเนตต์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงค้างอยู่ในจิตใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย นานวันขึ้นไม่ได้จืดจางลง ทว่า กลับตกตะกอนนอนก้นที่อยู่ห้องหัวใจแห่งความผิดหวัง
นี่คือ "ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูล" ตามห้วงความคิดคำนึงของผม ปกติผมมักเสาะหาเหตุผลมาทัดทานการปราชัยของทีมได้ไม่ยากนัก แต่ครั้งนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ใครหลายคนอาจโทษผู้ตัดสิน แต่นั่นเป็นแค่การหา "แพะรับบาป" เท่านั้น ใบเหลืองแดงของ มาสเคราโน่ คือใบเหลืองแดงที่ชัดเจน และมันบ่งบอกอีกครั้งถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเป็นตัวตัดสินเกมใหญ่ ซึ่งลิเวอร์พูลในยุค ราฟาเอล เบนิเตซ มักหลงลืมเสมอยามต้องปะแข้งกับทัพปีศาจแดง
หลายคนอาจบอกว่า เบนเนตต์ ทำเกินกว่าเหตุ แต่หากคุณดูฟุตบอลอังกฤษมานาน จะรู้จัก เบนเนตต์ เป็นอย่างดีว่า สไตล์การเป่าของเขาเป็นเช่นไร และเหตุการณ์เช่นที่ มาสเคราโน่ ทำลงไป เบนเนตต์ ไม่เคยปล่อยให้นักเตะลอยนวลแน่ โอเค สำหรับใบเหลืองของ เฟร์นานโด ตอร์เรส อาจดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่ ตอร์เรส กล่าวกับ เบนเนตต์ มีคำพูดว่าอะไรบ้าง แต่มันเพียงพอที่จะเรียกใบเหลืองออกจากกระเป๋ากางเกงของ เบนเนตต์ ได้
สำหรับมุมมองของนัดนี้ หลังปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 2 วันเต็ม ๆ เพื่อนั่งนึกคิด วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นี่คือ เกมที่ ราฟา ใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานทีมที่เขาพัฒนามาเกือบ 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนว่า ไม่ดีพอ และยังห่างไกลจาก ผีแดง ของเซอร์เฟอร์กี้ ที่ได้รับการบ่มเพาะดูแลมามากกว่า 20 ปี ราฟา ตัดสินใจลองของด้วยการใช้ทีมชุดเดิมที่เขายกให้เป็น 11 ตัวจริง ณ เวลานี้ พร้อมแผนการเล่นที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนแปลงแค่รายละเอียดทางด้านแท็คติก ซึ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแท็คติกที่ เฟอร์กี้ วางมาขยี้ลูกทีมของ ราฟา
สิ่งที่ ราฟา โยนทิ้งไปในเกมนี้ คือ การคิดแล้วคิดอีกสิบตลบของเขา ก่อนจะตัดสินใจเลือกวางแผนการเล่นที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการวางแท็คติกที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย เวลาต้องปะทะกับทีมใหญ่ ที่เคยน็อคทั้ง ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า มาแล้ว อาจเพราะเขามั่นใจในแผนการเล่น 4-2-3-1 ที่บุกไปยันเสมอ เชลซี 0-0 และเล่นงาน "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน จนหมดสภาพ 2 นัด แทนที่จะปรับเปลี่ยนแท็คติกและตัวผู้เล่นตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เขาทำมาในอดีตเสมอ
ผมเชื่อว่า หากทีมไม่ได้ชนะรวดมา 7 นัด ด้วยแท็คติก 4-2-3-1 ราฟา จะปรับเปลี่ยนแท็คติกเป็น 4-4-1-1 และมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่น รวมถึงตำแหน่งการยืนต่าง ๆ แตกต่างไปจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ราฟามั่นใจในระบบ 4-2-3-1 เพราะเขาเริ่มมองหาจุด "สมดุล" ของทีม หลังความพ่ายแพ้ต่อ บาร์นสลีย์ ตกรอบเอฟเอ คัพ และระบบนี้ได้ตอบโจทย์ของเขาใน 7 นัดที่ผ่านมาว่า สมดุลที่สุดในการเล่นเกมรุก-รับ นั่นคือ รุกพอใช้ได้ รับพอใช้ได้ ไม่ดีเด่นไปสักทาง ขณะที่ระบบ 4-4-2 เกมรุกเด่น แต่เกมรับด้อยเกินไปจนแพ้ได้กระทั่ง บาร์นสลีย์ ไม่สมดุล แต่ถ้าเลือกระบบ 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 เกมรับแข็ง แต่เกมรุกด้อย ไม่สมดุลเช่นกัน และยากที่จะเอาประตูจากผีแดงได้
แต่รายละเอียดเล็กน้อย ๆ ที่อาจถูกมองข้ามไปในระบบ 4-2-3-1 คือ เกมเสมอ เชลซี ระบบนี้ไม่สามารถเจาะเกมรับเชลซีได้ และเจาะเกมรับ อินเตอร์ ไม่เข้าเช่นกันในเกมที่แอนฟิลด์ จนกระทั่ง ราฟา เปลี่ยนตัวผู้เล่นและปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 ถึงยิง อินเตอร์ ได้ 2 ประตู ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนและชนะรวดมาตลอด ระบบดังกล่าวดีเพียงพอ
ทว่า สิ่งที่ราฟาหลงลืมไปคือ เกมนี้ทีมต้องการชัยชนะ หาใช่ต้องการเกมที่สมดุล เหมือนที่ เซอร์เฟอร์กี้ แสดงให้เห็นบ่อยครั้งในอดีตว่า เล่นยังไงก็ได้ขอให้ชนะ ลิเวอร์พูล เป็นพอ ทีมไม่จำเป็นต้องมีสมดุลเกมรุก-รับที่ดี เพราะฉะนั้น การไปเยือนผีแดง เกมรับจึงสำคัญที่สุด เกมรุกเป็นเรื่องรองลงมา เมื่อ ราฟา เลือกจัดทีมที่สมดุล เกมรับจึงไม่แข็งพอจะรับมือเกมรุกของผีแดง ขณะที่เกมรุกไม่ดีพอจะเจาะเกมรับผีแดง ผลที่ออกมาก็เลยเป็นดั่งที่ได้เห็นกันไป
นอกจากนี้ ความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมากมายกับนักเตะหงส์แดง เป็นสาเหตุใหญ่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายคู่แค้นตลอดกาลชนิดหมดสภาพเช่นนี้ ไรอัน บาเบล เต้นอย่างเห็นได้ชัด จับบอลแต่ละครั้งกระดอนไกลกว่า 1 หลา ขณะที่ เจอร์ราร์ด หายไปกับสายลม ชนิดกลางรับคู่อย่าง อันแดร์สัน และคาร์ริค ที่เซอร์จัดลงมาช่วยกันหยุด เจอร์ราร์ด ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย นอกจากถ่ายบอลเดินเกมเล่นรุกเท่านั้น ฝั่ง ตอร์เรส ทำได้ตามมาตรฐาน แต่เมื่อถูกรุมกินโต๊ะโดย ริโอ-วิดิช คู่กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ตอร์เรส ไม่มีทางผ่านแน่นอน เกมรุกของหงส์แดงที่พอจะคุกคามผีแดงได้บ้างมีเพียง บาเบล ที่ถูกปล่อยให้มีสถานการณ์ 1 ต่อ 1 กับ เวส บราวน์ 2-3 ครั้ง ซึ่งเขามีศักยภาพดีพอจะฝ่าไปได้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจและตื่นกับเกมใหญ่ ทำให้ บาเบล ทำอะไรได้ไม่มากนัก
สำหรับคนที่สร้างความผิดพลาดมากที่สุดคือ โฮเซ เรน่า โกลชาวสเปน ที่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เรน่า เขาเคยลงเล่นเกมใหญ่มามากมาย แต่ทำไมถึงตื่นเหลือเกินในเกมนี้ เหตุผลที่ผมพอจะมองหาได้คือ ความไม่แน่นอนของ เจมี คาร์ราเกอร์ ที่หลุดฟอร์ม ทำให้ เรน่า ไม่นิ่งตามไปด้วย ผลที่ออกมาจึงเละตุ้มเป๊ะ ทาง มาร์ติน สเคอร์เทล เขาเล่นได้ดีมากในเกมบุกไปเสมอ เชลซี 0-0 แต่เกมกับ อินเตอร์ ที่ซานซิโร่ กองหลังมีช่องโหว่มากมายในการยืนระหว่างเขากับคาร์ร่า แต่กองหน้าคู่อินเตอร์ ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมด และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ แม้แกนรุกผีแดงจะยิงทิ้งยิงขว้าง แต่ความผิดพลาดในเกมรับชนิดบอลเด็กมัธยมทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 3 ลูก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การยืนตำแหน่งของ สเคอร์เทล ยังไม่ดีนัก หากเจอกับทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านมาก ๆ ซึ่งมันส่งผลกระทบไปถึงคู่กองหลังของเขาด้วย
อย่างไรก็ดี ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเราทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล ได้เห็นภาพที่แท้จริงและชัดเจนที่สุดของทีมชุดนี้ว่า ยังไม่ดีพอเวลาไปเยือน เชลซี, อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด เราไม่สามารถเปิดหน้าสู้แลกหมัดได้ หรือเล่นในรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นมาเน้นรับแล้วโต้กลับ และถ้าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ยังไม่ได้ทำให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น วิธีทำทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลหน้า คือ ต้องหมุนเวียนผู้เล่น และเลือกใช้ระบบตามสถานการณ์ แต่ต้องใช้งานแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส, มาสเคราโน่, คาร์ราเกอร์, เรน่า ต่อเนื่องแทบทุกนัด ห้ามเปลี่ยน ทว่า ถ้าทีมสอยนักเตะระดับโลกเหมือน ตอร์เรส มาเสริมได้อีกสัก 3 ราย อาจทำให้เราสามารถเปิดหน้าสู้กับทีมใหญ่ได้ และใช้ระบบการเล่นเดิมของตัวเองในทุกนัด โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ปรับแค่แท็คติกในเกมเล็กน้อย โดยตำแหน่งที่ต้องการนักเตะระดับโลกมาเสริมคือ ฟลูแบ๊กทั้งสองข้าง และปีกขวาระดับโลก พร้อมกันนี้ ดาเนียล แอกเกอร์ ต้องไม่เจ็บพร้อมยืนระยะยาวได้ทั้งฤดูกาล
เกมนัดต่อไปที่เราจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ราฟา จะยึดหลักแนวทางการทำทีมต่อไปเช่นไร เขาจะยังยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 หรือปรับเปลี่ยนแท็คติกตามสถานการณ์ของทีม เป็นสิ่งที่น่าติดตามยิ่งนัก รวมทั้งเกม 3 นัดที่จะพบกับ อาร์เซนอล ด้วย ที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของทีมชุดนี้อีกครั้ง ถือเป็นสิ่งที่น่าติดตามดูยิ่งกว่า "นางทาส" ทางช่อง 7 สีซะอีก
ความรักที่สุดสดชื่นของคู่แต่งงานใหม่ จืดจางลงโดยฉับพลันชั่วขณะ เพราะเมื่อค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่ยากจะปล่อยผ่านไปได้ง่าย ๆ แม้เกมจะจบลงไปแล้ว หลังเสียงเป่านกหวีดรสขมของ สตีฟ เบนเนตต์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงค้างอยู่ในจิตใจของเหล่า "เดอะ ค็อป" ทั้งหลาย นานวันขึ้นไม่ได้จืดจางลง ทว่า กลับตกตะกอนนอนก้นที่อยู่ห้องหัวใจแห่งความผิดหวัง
นี่คือ "ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมลิเวอร์พูล" ตามห้วงความคิดคำนึงของผม ปกติผมมักเสาะหาเหตุผลมาทัดทานการปราชัยของทีมได้ไม่ยากนัก แต่ครั้งนี้ ไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ใครหลายคนอาจโทษผู้ตัดสิน แต่นั่นเป็นแค่การหา "แพะรับบาป" เท่านั้น ใบเหลืองแดงของ มาสเคราโน่ คือใบเหลืองแดงที่ชัดเจน และมันบ่งบอกอีกครั้งถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มักเป็นตัวตัดสินเกมใหญ่ ซึ่งลิเวอร์พูลในยุค ราฟาเอล เบนิเตซ มักหลงลืมเสมอยามต้องปะแข้งกับทัพปีศาจแดง
หลายคนอาจบอกว่า เบนเนตต์ ทำเกินกว่าเหตุ แต่หากคุณดูฟุตบอลอังกฤษมานาน จะรู้จัก เบนเนตต์ เป็นอย่างดีว่า สไตล์การเป่าของเขาเป็นเช่นไร และเหตุการณ์เช่นที่ มาสเคราโน่ ทำลงไป เบนเนตต์ ไม่เคยปล่อยให้นักเตะลอยนวลแน่ โอเค สำหรับใบเหลืองของ เฟร์นานโด ตอร์เรส อาจดูรุนแรงเกินไป แต่ผมไม่อาจทราบได้จริง ๆ ว่า สิ่งที่ ตอร์เรส กล่าวกับ เบนเนตต์ มีคำพูดว่าอะไรบ้าง แต่มันเพียงพอที่จะเรียกใบเหลืองออกจากกระเป๋ากางเกงของ เบนเนตต์ ได้
สำหรับมุมมองของนัดนี้ หลังปล่อยให้เวลาผ่านไปเกือบ 2 วันเต็ม ๆ เพื่อนั่งนึกคิด วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นี่คือ เกมที่ ราฟา ใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานทีมที่เขาพัฒนามาเกือบ 4 ปี ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาชัดเจนว่า ไม่ดีพอ และยังห่างไกลจาก ผีแดง ของเซอร์เฟอร์กี้ ที่ได้รับการบ่มเพาะดูแลมามากกว่า 20 ปี ราฟา ตัดสินใจลองของด้วยการใช้ทีมชุดเดิมที่เขายกให้เป็น 11 ตัวจริง ณ เวลานี้ พร้อมแผนการเล่นที่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนแปลงแค่รายละเอียดทางด้านแท็คติก ซึ่งพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแท็คติกที่ เฟอร์กี้ วางมาขยี้ลูกทีมของ ราฟา
สิ่งที่ ราฟา โยนทิ้งไปในเกมนี้ คือ การคิดแล้วคิดอีกสิบตลบของเขา ก่อนจะตัดสินใจเลือกวางแผนการเล่นที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการวางแท็คติกที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย เวลาต้องปะทะกับทีมใหญ่ ที่เคยน็อคทั้ง ยูเวนตุส, บาร์เซโลน่า มาแล้ว อาจเพราะเขามั่นใจในแผนการเล่น 4-2-3-1 ที่บุกไปยันเสมอ เชลซี 0-0 และเล่นงาน "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน จนหมดสภาพ 2 นัด แทนที่จะปรับเปลี่ยนแท็คติกและตัวผู้เล่นตามสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ เหมือนที่เขาทำมาในอดีตเสมอ
ผมเชื่อว่า หากทีมไม่ได้ชนะรวดมา 7 นัด ด้วยแท็คติก 4-2-3-1 ราฟา จะปรับเปลี่ยนแท็คติกเป็น 4-4-1-1 และมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่น รวมถึงตำแหน่งการยืนต่าง ๆ แตกต่างไปจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น เพื่อทำให้ทีมมีเกมรับที่แข็งแกร่งกว่านี้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ราฟามั่นใจในระบบ 4-2-3-1 เพราะเขาเริ่มมองหาจุด "สมดุล" ของทีม หลังความพ่ายแพ้ต่อ บาร์นสลีย์ ตกรอบเอฟเอ คัพ และระบบนี้ได้ตอบโจทย์ของเขาใน 7 นัดที่ผ่านมาว่า สมดุลที่สุดในการเล่นเกมรุก-รับ นั่นคือ รุกพอใช้ได้ รับพอใช้ได้ ไม่ดีเด่นไปสักทาง ขณะที่ระบบ 4-4-2 เกมรุกเด่น แต่เกมรับด้อยเกินไปจนแพ้ได้กระทั่ง บาร์นสลีย์ ไม่สมดุล แต่ถ้าเลือกระบบ 4-5-1 หรือ 4-4-1-1 เกมรับแข็ง แต่เกมรุกด้อย ไม่สมดุลเช่นกัน และยากที่จะเอาประตูจากผีแดงได้
แต่รายละเอียดเล็กน้อย ๆ ที่อาจถูกมองข้ามไปในระบบ 4-2-3-1 คือ เกมเสมอ เชลซี ระบบนี้ไม่สามารถเจาะเกมรับเชลซีได้ และเจาะเกมรับ อินเตอร์ ไม่เข้าเช่นกันในเกมที่แอนฟิลด์ จนกระทั่ง ราฟา เปลี่ยนตัวผู้เล่นและปรับมาเล่นระบบ 4-4-2 ถึงยิง อินเตอร์ ได้ 2 ประตู ส่วนเกมที่เจอทีมอ่อนและชนะรวดมาตลอด ระบบดังกล่าวดีเพียงพอ
ทว่า สิ่งที่ราฟาหลงลืมไปคือ เกมนี้ทีมต้องการชัยชนะ หาใช่ต้องการเกมที่สมดุล เหมือนที่ เซอร์เฟอร์กี้ แสดงให้เห็นบ่อยครั้งในอดีตว่า เล่นยังไงก็ได้ขอให้ชนะ ลิเวอร์พูล เป็นพอ ทีมไม่จำเป็นต้องมีสมดุลเกมรุก-รับที่ดี เพราะฉะนั้น การไปเยือนผีแดง เกมรับจึงสำคัญที่สุด เกมรุกเป็นเรื่องรองลงมา เมื่อ ราฟา เลือกจัดทีมที่สมดุล เกมรับจึงไม่แข็งพอจะรับมือเกมรุกของผีแดง ขณะที่เกมรุกไม่ดีพอจะเจาะเกมรับผีแดง ผลที่ออกมาก็เลยเป็นดั่งที่ได้เห็นกันไป
นอกจากนี้ ความผิดพลาดส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นมากมายกับนักเตะหงส์แดง เป็นสาเหตุใหญ่อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายคู่แค้นตลอดกาลชนิดหมดสภาพเช่นนี้ ไรอัน บาเบล เต้นอย่างเห็นได้ชัด จับบอลแต่ละครั้งกระดอนไกลกว่า 1 หลา ขณะที่ เจอร์ราร์ด หายไปกับสายลม ชนิดกลางรับคู่อย่าง อันแดร์สัน และคาร์ริค ที่เซอร์จัดลงมาช่วยกันหยุด เจอร์ราร์ด ไม่ต้องเล่นเกมรับเลย นอกจากถ่ายบอลเดินเกมเล่นรุกเท่านั้น ฝั่ง ตอร์เรส ทำได้ตามมาตรฐาน แต่เมื่อถูกรุมกินโต๊ะโดย ริโอ-วิดิช คู่กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในพรีเมียร์ลีกตอนนี้ ตอร์เรส ไม่มีทางผ่านแน่นอน เกมรุกของหงส์แดงที่พอจะคุกคามผีแดงได้บ้างมีเพียง บาเบล ที่ถูกปล่อยให้มีสถานการณ์ 1 ต่อ 1 กับ เวส บราวน์ 2-3 ครั้ง ซึ่งเขามีศักยภาพดีพอจะฝ่าไปได้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจและตื่นกับเกมใหญ่ ทำให้ บาเบล ทำอะไรได้ไม่มากนัก
สำหรับคนที่สร้างความผิดพลาดมากที่สุดคือ โฮเซ เรน่า โกลชาวสเปน ที่ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ เรน่า เขาเคยลงเล่นเกมใหญ่มามากมาย แต่ทำไมถึงตื่นเหลือเกินในเกมนี้ เหตุผลที่ผมพอจะมองหาได้คือ ความไม่แน่นอนของ เจมี คาร์ราเกอร์ ที่หลุดฟอร์ม ทำให้ เรน่า ไม่นิ่งตามไปด้วย ผลที่ออกมาจึงเละตุ้มเป๊ะ ทาง มาร์ติน สเคอร์เทล เขาเล่นได้ดีมากในเกมบุกไปเสมอ เชลซี 0-0 แต่เกมกับ อินเตอร์ ที่ซานซิโร่ กองหลังมีช่องโหว่มากมายในการยืนระหว่างเขากับคาร์ร่า แต่กองหน้าคู่อินเตอร์ ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมด และเหตุการณ์เช่นนั้นก็เกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ แม้แกนรุกผีแดงจะยิงทิ้งยิงขว้าง แต่ความผิดพลาดในเกมรับชนิดบอลเด็กมัธยมทำให้ทีมเสียประตูทั้ง 3 ลูก นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การยืนตำแหน่งของ สเคอร์เทล ยังไม่ดีนัก หากเจอกับทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านมาก ๆ ซึ่งมันส่งผลกระทบไปถึงคู่กองหลังของเขาด้วย
อย่างไรก็ดี ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้พวกเราทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับลิเวอร์พูล ได้เห็นภาพที่แท้จริงและชัดเจนที่สุดของทีมชุดนี้ว่า ยังไม่ดีพอเวลาไปเยือน เชลซี, อาร์เซนอล และแมนฯ ยูไนเต็ด เราไม่สามารถเปิดหน้าสู้แลกหมัดได้ หรือเล่นในรูปแบบเกมที่ตัวเองถนัดได้ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นมาเน้นรับแล้วโต้กลับ และถ้าการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ยังไม่ได้ทำให้ทีมยกระดับขึ้นไปอีกขั้น วิธีทำทีมที่ดีที่สุดในฤดูกาลหน้า คือ ต้องหมุนเวียนผู้เล่น และเลือกใช้ระบบตามสถานการณ์ แต่ต้องใช้งานแกนหลักอย่าง เจอร์ราร์ด, ตอร์เรส, มาสเคราโน่, คาร์ราเกอร์, เรน่า ต่อเนื่องแทบทุกนัด ห้ามเปลี่ยน ทว่า ถ้าทีมสอยนักเตะระดับโลกเหมือน ตอร์เรส มาเสริมได้อีกสัก 3 ราย อาจทำให้เราสามารถเปิดหน้าสู้กับทีมใหญ่ได้ และใช้ระบบการเล่นเดิมของตัวเองในทุกนัด โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ แต่ปรับแค่แท็คติกในเกมเล็กน้อย โดยตำแหน่งที่ต้องการนักเตะระดับโลกมาเสริมคือ ฟลูแบ๊กทั้งสองข้าง และปีกขวาระดับโลก พร้อมกันนี้ ดาเนียล แอกเกอร์ ต้องไม่เจ็บพร้อมยืนระยะยาวได้ทั้งฤดูกาล
เกมนัดต่อไปที่เราจะพบกับ เอฟเวอร์ตัน จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า ราฟา จะยึดหลักแนวทางการทำทีมต่อไปเช่นไร เขาจะยังยึดมั่นในระบบ 4-2-3-1 หรือปรับเปลี่ยนแท็คติกตามสถานการณ์ของทีม เป็นสิ่งที่น่าติดตามยิ่งนัก รวมทั้งเกม 3 นัดที่จะพบกับ อาร์เซนอล ด้วย ที่จะได้พิสูจน์ความสามารถของทีมชุดนี้อีกครั้ง ถือเป็นสิ่งที่น่าติดตามดูยิ่งกว่า "นางทาส" ทางช่อง 7 สีซะอีก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)